หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 086

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 086
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 086
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ ด้วยการเจริญสติ อานาปานสติ ทำความสงบให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเรา อดทนนั่งต่ออีกสักพักหนึ่ง ก่อนที่จะได้เปลี่ยนอิริยาบถ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ดับความกังวล หยุดคิดนั่นแหละ หยุดคิด หยุดความกังวล หยุดความฟุ้งซ่านต่างๆ ออกไปให้หมด

ฟังไปด้วย น้อม ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกของกายก็สบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราก็เด่นชัด ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง ฝึกให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่ตื่นขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บ เราก็สร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา

เวลาลมหายใจเข้าก็มีความรู้รับรู้อยู่ ลมหายใจออกก็มีความรู้สึกรับรู้อยู่ อันนี้เป็นพื้นฐานเลยทีเดียว พื้นฐานในการสร้างสติสร้างความรู้ตัว ถ้าเรารู้ลมเข้าลมออกได้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เพียงแค่ฝึกระลึกรู้ สร้างความรู้สึกรับรู้กับการหายใจเข้าออก พวกเรายังทำกันไม่ค่อยจะชำนาญ บางทีก็อึดอัดบ้าง บางทีก็พลั้งเผลอบ้าง เพราะว่าความเคยชินเก่าๆ ขาดการสนใจขาดการสำเนียก ขาดการน้อมเข้าไปรู้กายของตัวเรา

ทุกคน จิตทุกดวงปรารถนาในทางที่ดี ปรารถนาหาหนทางดับทุกข์ หาหนทางหลุดพ้น ได้สร้างบุญสร้างบารมีกันมาดี บางคนบางท่านก็สร้างมามาก บางคนบางท่านก็สร้างมาน้อย แต่ก็สร้างกันมาดีกันทุกคนถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ บางคนบางท่านก็มีเพียบพร้อมทั้งสมมติ บางคนบางท่านก็มีเพียบพร้อมทั้งสองอย่าง ก็อานิสงส์สร้างมาไม่เหมือนกัน แต่ปัจจุบันมีโอกาสได้สำรวจ ได้แก้ไข ได้ปรับปรุงตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา

การเกิด เกิดมาแต่ละครั้งแต่ละคราว การเกิดทางด้านรูปธรรมทางเนื้อหนังก็เกิดมาแล้ว ที่นี้เกิดทางด้านจิตใจ จิตใจเขาเกิดอย่างไร เขาก่อตัวอย่างไร แต่ละวัน ทำไมใจของเราถึงไปหลงสิ่งโน่นหลงสิ่งนี้ อันนั้นเป็นหลงภายนอก ลึกลงไปในฐานของใจ หลงความคิดหลงอารมณ์ ไม่รอบรู้ในความคิด ไม่รอบรู้ในอารมณ์ ไม่รอบรู้ในกองสังขาร นี่ล่ะก้อนโลกเลยทีเดียว นี่แหละวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ วิบากกรรมขันธ์ห้า ความคิดปรุงแต่งเก่าๆ มาปรุงแต่งจิต จิตของเรากระโดดเคลื่อนเข้าไปรวมเป็นตัวเดียวไปด้วยกัน

เราขาดการเจริญสติที่ต่อเนื่องก็เลยรู้ไม่ทัน เพียงแค่การสร้างสติความรู้ตัวเข้าไปสำรวจ ทำความเข้าใจกับจิตของเรา เรายังไม่มีความเข้มแข็งพอ มันก็ยากที่จะคลายความหลงได้ ยากที่จะชำระสะสางกิเลสได้ เราก็ต้องพยายามให้มีความเด็ดขาดในตัวของเรา แก้ไขตัวเรา มีความรับผิดชอบต่อตัวเรา

เราต้องทำความเข้าใจกับความหมายการปฏิบัติธรรม อะไรคือธรรม อะไรคือการปฏิบัติ ความละเอียดของธรรมเป็นอย่างไร เราต้องให้รู้ลักษณะอาการ รู้ด้วยเห็นด้วยเข้าถึงด้วย ถึงละไม่ได้หมดก็ให้รู้จักควบคุม ควบคุมจิตของเราอยู่ในระดับต้นเหตุกลางเหตุปลายเหตุ ควบคุมความคิดควบคุมอารมณ์ รู้จักพิจารณาก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิดก่อนที่จะทำ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย ประโยชน์ช้าประโยชน์เร็ว เราต้องรู้จักวิเคราะห์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีประโยชน์ ประโยชน์มากประโยชน์น้อย

ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์รู้จักพิจารณา จะไม่ปล่อยโอกาสทิ้ง จะไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง เสียดายเวลา ทำงานภายในเสร็จเรียบร้อย เราก็สร้างประโยชน์ภายนอก ประโยชน์สมมติ ประโยชน์ให้แก่สมมติ ประโยชน์ให้กับสังคม เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย แต่ส่วนมากจะไม่สนใจในการสร้างทรัพย์ภายใน สร้างอยู่แต่สร้างอยู่ในระดับของโลกิยะ ไม่ได้สร้างสูงขึ้นไปในการเดินปัญญาแยกรูปแยกนาม

แยกรูปแยกนาม การสังเกตการวิเคราะห์ ถ้าเราแยกได้สังเกตทัน เขาก็จะแยกออกจากกัน อันนั้นเป็นแค่เพียงเริ่มต้นของวิปัสสนา เราต้องตามทำความเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงทุกเรื่อง ไม่ปล่อยโอกาสให้พลาดพลั้งพลั้งเผลอได้ แม้ตั้งแต่เสี้ยววินาทีของสติของปัญญาอยู่ปัจจุบัน นอกจากจะนอนหลับ เราต้องตามทำความเข้าใจ และก็รู้จักหมั่นพร่ำสอนอบรมจิต ให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง

อันนี้ทั้งจิตกระโดดเข้าไปด้วย ส่งออกไปด้วย ทั้งรวมด้วย ทั้งหลงด้วย เป็นทาสของกิเลสด้วย กว่าจะคลายออกได้ เพียงแค่การเริ่มสร้างสติความรู้ตัวก็สร้างยังไม่ต่อเนื่อง การดับการควบคุมจิตก็ยังไม่มี มีอยู่อาจจะเป็นบางครั้งบางคราว แต่มีไม่ต่อเนื่อง การแยกการคลายไม่มี การทำความเข้าใจไม่มี จะเดินปัญญาเข้าสู่วิปัสสนาได้อย่างไร

แต่ศรัทธามี ศรัทธามีเต็มเปี่ยม มีความเสียสละ ความอดทนอดกลั้น พรหมวิหารความเมตตา มองโลกในทางที่ดี ตบะบารมีส่วนนี้มีกันทุกคน จะมีมากมีน้อยมีกันทุกคน

แต่การเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์แยกรูปแยกนาม ตรงนี้ต้องมาฝืนเลยทีเดียว ฝืนจิต ฝืนความคิดเก่าๆ ซึ่งเรียกว่า ‘ทวนกระแส’ จิตของคนเราชอบคิดชอบเที่ยว เราไม่ให้จิตของเราคิดเที่ยวส่งออกไปภายนอก ถึงใช้สมถะเข้าไปดับ มันก็เลยเป็นการฝืนเป็นการทวนกระแส ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย

สมมติว่าเรานั่ง กายของเรานี่ก็ก้อนทุกข์ ถ้านั่งนานๆ ก็เกิดทุกขเวทนา เราก็เลยเปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนบ่อยๆ ก็เลยปิดบังทุกข์ทางด้านรูปกายเสีย ส่วนความคิด ส่วนอารมณ์ ความคิดก็มาปรุงแต่งจิตของเรา สืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา ความคิดก็เลยมาปิดบังดวงจิตเสีย ก็เลยหลงไปด้วยกันหมด มันหลงอย่างลุ่มลึก หลงอย่างละเอียด จากหยาบไปละเอียด ถ้ากำลังสติมีไม่เพียงพอก็ยากที่จะเข้าใจ ถึงแยกแยะเดินปัญญาได้ ถ้าเราไม่ตามทำความเข้าใจ ละกิเลสออก มันก็ยากที่จะเข้าถึงได้

เราต้องพยายามสร้างบารมีของเราให้เต็ม แม้ตั้งแต่พระพุทธองค์ ก่อนที่ท่านจะตรัสรู้ ท่านก็สร้างบารมีมาจนเต็มเปี่ยมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างที่พวกเราได้เคยไปฟังอะไร เทศน์ 12 กัณฑ์ เทศน์ทุกวันนี้แหละ นั่นแหละบารมีของพระพุทธองค์ ท่านสร้างมามากต่อมาก ปัญญาขั้นสุดท้ายถึงได้มาสำเร็จ มาทำความเข้าใจ ทำการทำความเข้าใจ มาค้นพบกับหลักของอริยสัจ การเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า การแยกรูปแยกนาม เดินสู่วิปัสสนา ละกิเลส มารู้แจ้งเห็นจริงในหลักของอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ ท่านถึงได้มาตรัสรู้ตรงนี้

ก่อนที่ท่านจะได้มาตรัสรู้ ท่านบำเพ็ญบารมีมามาก จิตปล่อยวางมา แต่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น แต่การเกิดของจิตยังมีอยู่ ความหลงในสิ่งที่ลุ่มลึกยังมีอยู่ ท่านถึงได้มาค้นพบ แล้วเอามาเปิดเผยให้พวกเราได้เดินตาม พวกเรามีโอกาสมีบุญมีวาสนา มีผู้เปิดทางให้ ทำไมไม่พากันเดิน ตั้งใจเดิน ตั้งใจทำ เข้ามาวัดก็ต้องพยายามให้เข้าถึงวัด ทำกายให้เป็นวัด ทำจิตให้เป็นพระ อยู่ที่บ้านเราก็พยายามสำรวจตรวจตราดูตัวเราทุกเรื่อง ในการปฏิบัติ ในการฝึกฝนตนเอง

เราเปรียบเทียบกับกาลกับเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่เราฝึกฝนตัวเราเอง ความทุกข์ของเราคลาย ลดน้อยถอยลงหรือไม่ เราปรับปรุงแก้ไขชีวิตของเราดีขึ้นหรือไม่ ภาระหน้าที่การงานของเราเป็นอย่างไร เรามีความรับผิดชอบอยู่ในระดับไหน เราต้องพยายามศึกษา เพราะว่าเรายังอาศัยโลกอยู่ อาศัยสมมติอยู่ อาศัยอยู่กับโลกธรรมอยู่

เราไม่ได้หนีโลกหรอก กายของเรานี่แหละก้อนโลกเลยทีเดียว ถ้าคนเราจะไปศึกษานอกกายนี่หาไม่เจอหรอกธรรมะ ธรรมคือตัวใจของเรานั่นแหละ ถ้าใจของเราปล่อยวาง ละกิเลสได้เมื่อไหร่ นั่นแหละคือองค์ธรรม จิตใจของเราว่างเมื่อไหร่ นั่นคือเครื่องอยู่ ในความว่างนั้นมีดวงจิตอยู่ ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ทุกคนมีกันหมด เว้นแต่เราจะทำความเข้าใจได้ถูกต้อง รู้จักรักษา รู้จักชำระสะสางกิเลสหรือไม่

ก็ต้องไปพยายามกันนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง พยายามสร้างอานิสงส์สร้างบุญบารมี เรามีโอกาสทำเมื่อไหร่เราอย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง เรารีบทำ เพียงแค่คิดดีก็เป็นบุญ ทำดีก็เป็นบุญ การกระทำให้ถึงพร้อม ยิ่งเกิดอานิสงส์ใหญ่

โอกาสเปิดให้ สถานที่เปิดให้ กาลเวลาเปิดให้ เรามีความพร้อม อย่าไปปล่อยโอกาส ถ้าเราไม่มี เราก็น้อมกายน้อมใจเข้ามาอนุโมทนาสาธุ ยิ่งจะได้บุญใหญ่ ได้บุญร่วมกัน ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง