หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 083
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 083
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงทำความสงบ เจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะ นั่งตามอิริยาบถให้สบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ฟังไปด้วย แล้วก็น้อมระลึกรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยวให้ทั่วท้อง การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นอุบายที่จะทำจิตของเราให้สงบ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด ความรู้สึกตัวนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’ รู้สึกรับรู้อยู่ที่เวลาสัมผัสของลมหายใจกระทบปลายจมูกของเรา แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ’สัมปชัญญะ’
ถ้ามีความรู้สึกพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ถ้าเกียจคร้านในการเจริญสติตัวนี้ จะไม่เข้าใจในเรื่องจิต ในเรื่องการเดินปัญญาแยกรูปแยกนาม จะไม่เข้าใจในเรื่องสมมติในเรื่องวิมุตติ เข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตา ถึงเข้าใจก็เข้าใจอยู่เพียงแค่ปัญญาของโลกิยะ ไม่ใช่ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง นอกจากเราจะเจริญสติให้ต่อเนื่อง
ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีสติมีปัญญากันเต็มเปี่ยมเพียบพร้อมทางสมมติ ทุกคนก็ได้สร้างบารมีกันมาดี ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข แล้วก็ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียนในระดับของสมมติ มีความเข้าใจในระดับหนึ่ง แต่การที่จะเข้าไปศึกษาค้นคว้าเรื่องจิตจริงๆ แล้ว เราต้องมาเจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็พยายามทำให้รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย จนกว่าจิตของเราจะคลายความคิด คลายอารมณ์ต่างๆ จนกว่าจิตของเราจะได้รับความว่าง ว่างจากการเกิด คลายความหลง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส
การได้ยินการได้ฟังการได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แสวงหาครูบาอาจารย์ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ไปทำบุญที่โน่นบ้างไปทำบุญที่นี่บ้าง ทั้งที่รู้ๆ แต่เราก็ยังคลายทุกข์ไม่ได้ แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้เด็ดขาด เพราะว่าเราไม่สนใจฝักใฝ่ให้ต่อเนื่อง เราไม่ทำความเพียรให้ต่อเนื่อง ไม่ทำความเข้าใจให้ละเอียดในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
การเกิดของจิตเป็นอย่างไร ฐานของจิตอยู่ตรงไหน การเกิดของขันธ์ห้า เขาก่อตัวขึ้นได้อย่างไร จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ลักษณะอาการของขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร หน้าตาเป็นอย่างไร จำแนกแจกแจงออกจากกันเป็นอย่างไร เราต้องหัดสังเกตหัดวิเคราะห์
อันนี้เราจะไปบังคับกันไม่ได้หรอก ก็ขึ้นอยู่กับความเพียร ขึ้นอยู่กับอานิสงส์บุญบารมีของแต่ละบุคคล เพียงแค่ขอให้เราน้อมกายเข้ามา มีศรัทธาน้อมกายเข้ามา รู้จักสร้างบารมี ศรัทธาของเรามีความเต็มเปี่ยม เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อในบุญในบาปในกรรม ในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วก็ประพฤติปฏิบัติให้รู้ให้เห็นให้เข้าถึง ในสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านทรงสอน
อย่าไปนึกเอาอย่าไปคิดเอาเด็ดขาด เรื่องการปฏิบัติจิต ศรัทธาน้อมเข้ามา การสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติเป็นอย่างนี้ การควบคุมจิต เราควบคุมได้อยู่ในระดับไหน ระดับต้นเหตุระดับกลางระดับปลาย ลักษณะอาการของความคิด เขาก่อตัวอย่างไร การละกิเลส เราจะละลักษณะอย่างไร
ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก ความอยาก อยากอยู่ในระดับไหน ความทะเยอทะอยาก อยากมั่งอยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา อยากในส่วนละเอียด อยากจะรู้ธรรมอยากจะได้ธรรม แม้ตั้งแต่ความไม่อยาก ถ้าเกิดจากตัวจิตนี้ ให้เราดับให้เราละออกให้มันหมดเลย
เรามาเจริญสติ มาทำความเข้าใจ จนจิตรู้เห็นตามความเป็นจริงได้เมื่อไหร่นั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยเขาถึงจะวาง อันนี้หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง เล่าของเก่า ก็เล่าทุกวันเล่าทุกปี เล่าทุกวันมากระทั่งตั้งแต่เริ่มบวชใหม่ๆ เริ่มบวชใหม่ๆ ภายใน 2-3 เดือน หลวงพ่อก็เล่าสิ่งนี้เลย เพราะว่าหลวงพ่อรู้หลวงพ่อเห็นตั้งแต่เป็นเด็ก ตั้งแต่เป็นเด็กมาเลยทีเดียว
จิตนี่ว่าง รู้จิตรู้ความคิด แต่ไม่รู้ว่าลักษณะอันนี้คือ ชื่อของมันเป็นอย่างนั่นเป็นอย่างนี้ พอเข้ามาบวช ถึงมารู้ว่า ‘ความว่างนั่นแหละคือองค์ธรรม’ ‘การเกิดการดับของความคิดนั่นแหละคือขันธ์ห้า’ จิตของเราไปหลงความคิด แล้วก็แยก สตินี้มีมาตั้งแต่เป็นเด็ก ต่อเนื่องกันมา พอมารู้มาเห็นจิตคลายออกจากขันธ์ห้า แยกออกจากขันธ์ห้าได้ ถึงรู้ว่าเราหลงแค่ความคิด อยากจะให้ญาติโยมทุกคน อยากจะให้พี่น้องทุกคนได้รับความสงบความสุข
นึกว่าจะรู้ง่ายๆ เหมือนกับเรารู้ ก็เลยอยากจะให้ทุกคนได้รับความสงบความสุข ก็เลยพูดเรื่องนี้แหละ มาตั้งแต่ออกบวชเลยทีเดียว ตั้งแต่บวชยังไม่ถึงสองเดือนเลยทีเดียว พูดเรื่องจิต เรื่องการเกิดการดับของจิต เรื่องแยกรูปแยกนาม จนออกมาอยู่ป่าช้าคนเดียวนี่แหละ สมัยก่อน มาละความกลัว แล้วก็มาละกิเลส มาละความโลภ มาละความอยากความทะเยอทะยานอยาก มาละความกลัว มาละนิวรณ์ อยู่คนเดียวอยู่ในป่าช้า
กลางค่ำกลางคืนก็เดิน ฝนฟ้าก็ตกก็มี บางวันออกมาบำเพ็ญธรรมอยู่คนเดียว อยู่ในบ้าน 2 ทุ่มออกมาป่า ตี 5 กลับเข้าไป ร่วมอยู่ 2 เดือน 3 เดือนทีเดียว กลับไปกลับมา อยู่ป่าช้า มาละความกลัว จนออกบำเพ็ญทุกที่ไป อยากจะให้ญาติโยมทุกคนได้รับความสงบได้รับความสุขเหมือนกับตัวที่หลวงพ่อได้รับ แต่ก็ มันก็รับยากเหมือนกัน เพราะว่าอะไร เพราะว่าสภาวะจิตของแต่ละดวงนั้นสร้างมาไม่เหมือนกัน
อยากจะให้ทุกคนค่อยฝึกฝนตนเอง ค่อยแก้ไขตัวเองทีละเล็กทีละน้อย ค่อยละกิเลสไปก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง อย่าพากันเกียจคร้าน มาวัดก็ต้องพยายามเข้าให้ถึงวัด ทำความเข้าใจ ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระบ่อยๆ ยิ่งผู้เฒ่าผู้แก่อายุมากแล้ว ก็พยายามหันเข้าไป น้อมเข้าไปสำรวจเรื่องจิตให้มากๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน เพราะว่าอายุของมนุษย์ อายุของเราก็เหลือไม่มาก อายุมากแล้วมีตั้งแต่ขาลงไม่ใช่ขาขึ้น เจริญขึ้นหรือว่าเสื่อมขึ้น แล้วก็เสื่อมลง
พยายามพากันเร่งทำความเพียร ขยันหมั่นเพียรให้มากๆ เข้ามาวัดก็ขยันหมั่นเพียร หมั่นวิเคราะห์เรา หมั่นแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา วันเวลาก็จะไม่ได้เสียทิ้ง ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง ไม่ปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
ก็ต้องพยายามกันนะ เข้ามาอยู่ในวัดนี้ก็เหมือนกับมาบ้านของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ให้ความเป็นอิสระ อิสระทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจ เพราะว่าทุกคนก็มีข้อวัตรปฏิบัติอยู่ในตัวเองหมด ทุกคนก็มีความรับผิดชอบต่อตัวเองหมด ไม่จำเป็นต้องไปมีข้อวัตรภายนอกอะไรมากมาย มีตั้งแต่คนฉลาด รู้จักพิจารณาแก้ไขตัวเอง รู้จักแนวทางแล้ว ทำความเพียร เร่งทำความเพียรอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับนั่นแหละ จนกระทั่งดูรู้เห็นตามความเป็นจริงหมด มองเห็นหนทางที่ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกันให้ถึงจุดหมายปลายทางกันนะ ไม่ถึงวันนี้ก็ถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ถึงมะรืนนี้ ไม่ถึงเดือนนี้ก็ถึงเดือนหน้า มันไม่ถึงจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้านั่นแหละ สิ่งนี้จะเป็นอุปนิสัยติดตามตัวของทุกคนไปเลยทีเดียว
การฝึกฝนตนเอง การชำระสะสางกิเลส ทุกคนก็มีกิเลสกันหมดนั่นแหละ จะมีมากมีน้อย กิเลสนี้มีมาภายหลังเท่านั้นเอง ตามความเป็นจริงแล้ว จิตสะอาดบริสุทธิ์ เพราะว่าความหลงความไม่รู้ จิตถึงยอมเป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของขันธ์ห้า เป็นทาสของกิเลส แล้วก็ทาสของอารมณ์ต่างๆ ก็เลยทับถมมาเหมือนกับดินพอกหางหมู หนักแน่นมาหนามาตลอด เราพยายามมาคลาย มาละ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย ด้วยการเจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมาย ก็ต้องพยายามกันเอา
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ อันนี้แค่เพียงเล่าให้ฟัง
ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ สัก 2-3 เที่ยวให้ทั่วท้อง การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นอุบายที่จะทำจิตของเราให้สงบ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้ากระทบปลายจมูกก็จะเด่นชัด ความรู้สึกตัวนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สติรู้ตัว’ รู้สึกรับรู้อยู่ที่เวลาสัมผัสของลมหายใจกระทบปลายจมูกของเรา แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ’สัมปชัญญะ’
ถ้ามีความรู้สึกพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ถ้าเกียจคร้านในการเจริญสติตัวนี้ จะไม่เข้าใจในเรื่องจิต ในเรื่องการเดินปัญญาแยกรูปแยกนาม จะไม่เข้าใจในเรื่องสมมติในเรื่องวิมุตติ เข้าใจในเรื่องอัตตา ในเรื่องอนัตตา ถึงเข้าใจก็เข้าใจอยู่เพียงแค่ปัญญาของโลกิยะ ไม่ใช่ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง นอกจากเราจะเจริญสติให้ต่อเนื่อง
ทุกคนก็มีบุญ ทุกคนก็มีสติมีปัญญากันเต็มเปี่ยมเพียบพร้อมทางสมมติ ทุกคนก็ได้สร้างบารมีกันมาดี ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านทุกข์ผ่านสุข แล้วก็ได้รับการศึกษาได้รับการเล่าเรียนในระดับของสมมติ มีความเข้าใจในระดับหนึ่ง แต่การที่จะเข้าไปศึกษาค้นคว้าเรื่องจิตจริงๆ แล้ว เราต้องมาเจริญสติให้ต่อเนื่อง แล้วก็พยายามทำให้รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย จนกว่าจิตของเราจะคลายความคิด คลายอารมณ์ต่างๆ จนกว่าจิตของเราจะได้รับความว่าง ว่างจากการเกิด คลายความหลง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลส
การได้ยินการได้ฟังการได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม แสวงหาครูบาอาจารย์ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง ไปทำบุญที่โน่นบ้างไปทำบุญที่นี่บ้าง ทั้งที่รู้ๆ แต่เราก็ยังคลายทุกข์ไม่ได้ แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้เด็ดขาด เพราะว่าเราไม่สนใจฝักใฝ่ให้ต่อเนื่อง เราไม่ทำความเพียรให้ต่อเนื่อง ไม่ทำความเข้าใจให้ละเอียดในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
การเกิดของจิตเป็นอย่างไร ฐานของจิตอยู่ตรงไหน การเกิดของขันธ์ห้า เขาก่อตัวขึ้นได้อย่างไร จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ลักษณะอาการของขันธ์ห้าเป็นลักษณะอย่างไร หน้าตาเป็นอย่างไร จำแนกแจกแจงออกจากกันเป็นอย่างไร เราต้องหัดสังเกตหัดวิเคราะห์
อันนี้เราจะไปบังคับกันไม่ได้หรอก ก็ขึ้นอยู่กับความเพียร ขึ้นอยู่กับอานิสงส์บุญบารมีของแต่ละบุคคล เพียงแค่ขอให้เราน้อมกายเข้ามา มีศรัทธาน้อมกายเข้ามา รู้จักสร้างบารมี ศรัทธาของเรามีความเต็มเปี่ยม เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อในบุญในบาปในกรรม ในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วก็ประพฤติปฏิบัติให้รู้ให้เห็นให้เข้าถึง ในสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านทรงสอน
อย่าไปนึกเอาอย่าไปคิดเอาเด็ดขาด เรื่องการปฏิบัติจิต ศรัทธาน้อมเข้ามา การสร้างความรู้ตัวหรือว่าเจริญสติเป็นอย่างนี้ การควบคุมจิต เราควบคุมได้อยู่ในระดับไหน ระดับต้นเหตุระดับกลางระดับปลาย ลักษณะอาการของความคิด เขาก่อตัวอย่างไร การละกิเลส เราจะละลักษณะอย่างไร
ความโลภ ความโกรธ ความทะเยอทะยานอยาก ความอยาก อยากอยู่ในระดับไหน ความทะเยอทะอยาก อยากมั่งอยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา อยากในส่วนละเอียด อยากจะรู้ธรรมอยากจะได้ธรรม แม้ตั้งแต่ความไม่อยาก ถ้าเกิดจากตัวจิตนี้ ให้เราดับให้เราละออกให้มันหมดเลย
เรามาเจริญสติ มาทำความเข้าใจ จนจิตรู้เห็นตามความเป็นจริงได้เมื่อไหร่นั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยเขาถึงจะวาง อันนี้หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง เล่าของเก่า ก็เล่าทุกวันเล่าทุกปี เล่าทุกวันมากระทั่งตั้งแต่เริ่มบวชใหม่ๆ เริ่มบวชใหม่ๆ ภายใน 2-3 เดือน หลวงพ่อก็เล่าสิ่งนี้เลย เพราะว่าหลวงพ่อรู้หลวงพ่อเห็นตั้งแต่เป็นเด็ก ตั้งแต่เป็นเด็กมาเลยทีเดียว
จิตนี่ว่าง รู้จิตรู้ความคิด แต่ไม่รู้ว่าลักษณะอันนี้คือ ชื่อของมันเป็นอย่างนั่นเป็นอย่างนี้ พอเข้ามาบวช ถึงมารู้ว่า ‘ความว่างนั่นแหละคือองค์ธรรม’ ‘การเกิดการดับของความคิดนั่นแหละคือขันธ์ห้า’ จิตของเราไปหลงความคิด แล้วก็แยก สตินี้มีมาตั้งแต่เป็นเด็ก ต่อเนื่องกันมา พอมารู้มาเห็นจิตคลายออกจากขันธ์ห้า แยกออกจากขันธ์ห้าได้ ถึงรู้ว่าเราหลงแค่ความคิด อยากจะให้ญาติโยมทุกคน อยากจะให้พี่น้องทุกคนได้รับความสงบความสุข
นึกว่าจะรู้ง่ายๆ เหมือนกับเรารู้ ก็เลยอยากจะให้ทุกคนได้รับความสงบความสุข ก็เลยพูดเรื่องนี้แหละ มาตั้งแต่ออกบวชเลยทีเดียว ตั้งแต่บวชยังไม่ถึงสองเดือนเลยทีเดียว พูดเรื่องจิต เรื่องการเกิดการดับของจิต เรื่องแยกรูปแยกนาม จนออกมาอยู่ป่าช้าคนเดียวนี่แหละ สมัยก่อน มาละความกลัว แล้วก็มาละกิเลส มาละความโลภ มาละความอยากความทะเยอทะยานอยาก มาละความกลัว มาละนิวรณ์ อยู่คนเดียวอยู่ในป่าช้า
กลางค่ำกลางคืนก็เดิน ฝนฟ้าก็ตกก็มี บางวันออกมาบำเพ็ญธรรมอยู่คนเดียว อยู่ในบ้าน 2 ทุ่มออกมาป่า ตี 5 กลับเข้าไป ร่วมอยู่ 2 เดือน 3 เดือนทีเดียว กลับไปกลับมา อยู่ป่าช้า มาละความกลัว จนออกบำเพ็ญทุกที่ไป อยากจะให้ญาติโยมทุกคนได้รับความสงบได้รับความสุขเหมือนกับตัวที่หลวงพ่อได้รับ แต่ก็ มันก็รับยากเหมือนกัน เพราะว่าอะไร เพราะว่าสภาวะจิตของแต่ละดวงนั้นสร้างมาไม่เหมือนกัน
อยากจะให้ทุกคนค่อยฝึกฝนตนเอง ค่อยแก้ไขตัวเองทีละเล็กทีละน้อย ค่อยละกิเลสไปก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง อย่าพากันเกียจคร้าน มาวัดก็ต้องพยายามเข้าให้ถึงวัด ทำความเข้าใจ ทำจิตให้เป็นพระ เจริญสติเข้าไปเยี่ยมพระบ่อยๆ ยิ่งผู้เฒ่าผู้แก่อายุมากแล้ว ก็พยายามหันเข้าไป น้อมเข้าไปสำรวจเรื่องจิตให้มากๆ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน เพราะว่าอายุของมนุษย์ อายุของเราก็เหลือไม่มาก อายุมากแล้วมีตั้งแต่ขาลงไม่ใช่ขาขึ้น เจริญขึ้นหรือว่าเสื่อมขึ้น แล้วก็เสื่อมลง
พยายามพากันเร่งทำความเพียร ขยันหมั่นเพียรให้มากๆ เข้ามาวัดก็ขยันหมั่นเพียร หมั่นวิเคราะห์เรา หมั่นแก้ไขตัวเรา ปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา วันเวลาก็จะไม่ได้เสียทิ้ง ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง ไม่ปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา
ก็ต้องพยายามกันนะ เข้ามาอยู่ในวัดนี้ก็เหมือนกับมาบ้านของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ให้ความเป็นอิสระ อิสระทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจ เพราะว่าทุกคนก็มีข้อวัตรปฏิบัติอยู่ในตัวเองหมด ทุกคนก็มีความรับผิดชอบต่อตัวเองหมด ไม่จำเป็นต้องไปมีข้อวัตรภายนอกอะไรมากมาย มีตั้งแต่คนฉลาด รู้จักพิจารณาแก้ไขตัวเอง รู้จักแนวทางแล้ว ทำความเพียร เร่งทำความเพียรอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับนั่นแหละ จนกระทั่งดูรู้เห็นตามความเป็นจริงหมด มองเห็นหนทางที่ว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายามกันให้ถึงจุดหมายปลายทางกันนะ ไม่ถึงวันนี้ก็ถึงพรุ่งนี้ ไม่ถึงพรุ่งนี้ก็ถึงมะรืนนี้ ไม่ถึงเดือนนี้ก็ถึงเดือนหน้า มันไม่ถึงจริงๆ ก็ไปต่อเอาภพหน้านั่นแหละ สิ่งนี้จะเป็นอุปนิสัยติดตามตัวของทุกคนไปเลยทีเดียว
การฝึกฝนตนเอง การชำระสะสางกิเลส ทุกคนก็มีกิเลสกันหมดนั่นแหละ จะมีมากมีน้อย กิเลสนี้มีมาภายหลังเท่านั้นเอง ตามความเป็นจริงแล้ว จิตสะอาดบริสุทธิ์ เพราะว่าความหลงความไม่รู้ จิตถึงยอมเป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของขันธ์ห้า เป็นทาสของกิเลส แล้วก็ทาสของอารมณ์ต่างๆ ก็เลยทับถมมาเหมือนกับดินพอกหางหมู หนักแน่นมาหนามาตลอด เราพยายามมาคลาย มาละ ด้วยการเอาออก ด้วยการคลาย ด้วยการเจริญพรหมวิหารให้เต็มเปี่ยม สักวันหนึ่งก็คงจะถึงจุดหมาย ก็ต้องพยายามกันเอา
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ อันนี้แค่เพียงเล่าให้ฟัง