หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 077

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 077
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 077
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเราชีเรา ก่อนที่จะขบจะฉันกะประมานในการขบฉันของตัวเราเองให้ดี เรื่องกินเรื่องอยู่เป็นเรื่องเกี่ยวกับกาย เราต้องรู้จิตรู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันอารมณ์ จิตเกิดความอยากความยินดีในอาหาร เราก็รู้จักละรู้จักดับรู้จักพิจารณา หรือว่าปฎิสังขาโยอยู่ประจำทุกเรื่อง พิจารณาอาหารพิจารณารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสต่างๆ จนเป็นอัตโนมัติในการพิจารณาในการดูในการรู้

แต่ละวันตื่นขึ้นมา เอาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาก็สำรวจจิตของเรา ตื่นขึ้นมาเราก็แสวงหาบุญสร้างบุญ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญ เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลานั่นแหละถึงเรียกว่า ‘อยู่กับวัด ได้เข้าวัด ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า’ ใครได้รู้จิต คนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า ใครเห็นธรรมคนนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า ก็จะได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าตลอดเวลา

จิตของเราเป็นลักษณะอย่างไร ลักษณะของจิต ฐานของจิตอยู่ตรงไหน จิตทุกดวงสะอาดบริสุทธิ์ แต่เขายังเกิดอยู่ ยังลุ่มยังหลงอยู่ หลงอยู่ในรูปรสกลิ่นเสียง หลงในการท่องเที่ยวอยู่ เรามาดับการเกิด มาคลายความหลง มาละกิเลสออกจากใจของตัวเราเองทีละเล็กทีละน้อย เดี๋ยวก็ค่อยเหือดแห้งไป

แต่ละวันจิตของเราเป็นอย่างไร จิตของเราสงบสะอาดปกติ หรือว่าจิตของเราเกิดความกังวลเกิดความฟุ้งซ่าน มีมลทินอะไรเข้ามาเกาะเกี่ยวในดวงใจของเรา

เราก็ต้องพยายามแก้ไข ความอิจฉาริษยา ความยินดียินร้าย ความโลภความโกรธต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับใจของเรา เราก็รู้จักดับ หมั่นเจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน มองโลกในทางที่ดี คิดดีรู้จักให้อภัยทานอโหสิกรรม ไม่เห็นแก่ตัว มีความรับผิดชอบ ไปอยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข

ถ้าคนเราเกียจคร้านไม่มีความรับผิดชอบ อยู่คนเดียวก็ไม่สุข อยู่หลายคนก็ไม่สุข เพราะว่ากิเลสมันเล่นงานตลอดเวลา เราต้องพยายามหมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ขยันหมั่นเพียร เข้ามาอยู่วัดก็เหมือนกัน เข้ามาวัดก็มาเพื่อ ‘วัดกายวัดใจของเรา’ อะไรพอช่วยกันได้ก็ช่วย ช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ที่พักที่อาศัยของเรานั่นแหละ ไม่ทิ้งเศษขยะให้เกลื่อนกลาด ที่พักที่อาศัยก็ให้ดูแลให้ดี ห้องสวมห้องน้ำกว่าจะได้ขึ้นมาใช้ก็ลําบาก ลําบากของคนรุ่นก่อนๆ สืบทอดกันมา ไม่ใช่ว่ามาอยู่วัดแล้วก็ไม่รู้จักอะไร ทำอะไรไม่เป็น เข้ามาวัด เข้ามาสำรวจเข้ามาตรวจตา ไม่ใช่ว่าเข้ามาวัด แล้วก็มาตําหนิโน่นไม่ดีอันนี้ไม่ดี อันนั้นคนโง่ เป็นคนโง่ ต้องสํารวจตัวเองแก้ไขตัวเองถึงจะถูก

อะไรไม่ดี เราก็รีบทำให้ดีเสีย ถ้าใจของเราดีแล้ว อะไรไม่ดี ใจของเราก็ดีอยู่เหมือนเดิม ถ้ามันไม่ดี เราพอแก้ไขได้เราก็แก้ไข อยู่ที่บ้านก็เหมือนกัน ไปที่โน่นแล้วก็ไปตำหนิอันโน้นบ้างตำหนิอันนี้บ้าง มันก็กิเลสของเรานั่นแหละ ไม่ใช่กิเลสของใครหรอกที่มันไปตําหนิ ส่วนมากจิตของปุถุชนก็เป็นอย่างนั้น เพราะว่ากิเลสมันยังห่อหุ้มอยู่ เราก็ต้องพยายามรีบสำรวจรีบแก้ไข รีบปรับปรุงตัวเราอยู่ตลอดเวลา

จะไปแก้ไขอันโน่นไปแก้ไขอันนี้ แก้ไขใจของเรามันถึงจะถูกต้อง คลายความหลงคลายความอยาก อยู่คนเดียวเราก็อยู่หลายคนเราก็มีระเบียบอยู่คนเดียวก็มีระเบียบ ใจมีระเบียบกายมีระเบียบ การกระทำมันยาก แต่การพูดมันง่าย พูดนิดเดียวมันไปตั้งไกล การลงมือทำจริงๆ แล้วมันยาก การลงมือทำทั้งความขยันหมั่นเพียร ความอดทนอดกลั้น พรหมวิหารอาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยความพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างถึงเกิดประโยชน์

การพูดการจาพูดนิดเดียว แล้วก็ดีไม่ดีคำพูดถ้าเป็นมลทินแล้วก็ยิ่งลําบากยิ่งแย่ เป็นมลทินให้กับตัวเราเอง ให้กับคนอื่น ท่านถึงบอกว่าก่อนจะพูดก่อนจะคิดก็ให้พิจารณาให้ดี ไม่ใช่ว่ามีอะไรก็พูดๆ ออกไป คำพูดถึงผูกมัดตัวเราเอง ถ้าพูดไม่ดีก็ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์เป็นโทษ เราก็ระวังก่อนที่จะพูด ลึกลงไปก่อนที่จะคิด แล้วก็ลงมือ การกระทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ ท่านถึงบอกให้สำรวมกายอินทรีย์ตัวเองอยู่ตลอดเวลา

ยิ่งอยู่ร่วมกันเยอะๆ ยิ่งเพิ่มความเพียรให้มากๆ แต่ละคนๆ อยู่หลายคนก็จะมีตั้งแต่ความสุขมาอยู่ร่วมกันชายคาเดียวกัน เหมือนพ่อเหมือนแม่เหมือนพี่เหมือนน้อง มีผู้ปกครองเดียวกัน หลวงพ่อก็อยู่ในฐานะที่ดูแล ณ สถานที่ตรงนี้ ก็ให้ความอนุเคราะห์กับทุกคนที่ได้เข้ามาให้เท่าเทียมกันเท่าที่จะอํานวยความสะดวกให้ เท่าที่จะอนุเคราะห์ให้ ถ้าพูดตามความเป็นจริงแล้วก็อยู่ในฐานะของคนรับใช้ให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข อะไรขาดบกพร่องก็ช่วยทำช่วยหาให้ทั้งภายนอกทั้งภายใน มาอยู่ด้วยกันก็จะอยู่ดีมีความสุข ไม่ใช่มาแล้วก็มาสร้างความเหนื่อยใจให้ อันนี้ก็ใช้การไม่ได้ เราต้องมาสร้างความดีสร้างประโยชน์สร้างอานิสงส์ มันถึงจะเกิดประโยชน์ ตั้งใจรับพรกัน

ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง นั่งตามอิริยาบถให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบายวางใจให้สบาย หยุดดับความคิดดับความกังวลดับความฟุ้งซ่านต่างๆ ที่เกิดจากจิตของเราด้วยการกระตุ้นความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออก อย่าไปเพ่งลมหายใจ อย่าไปบังคับลมหายใจ

ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้เป็นธรรมชาติที่สุด การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมที่กระทบปลายจมูก เรามีความรู้สึกที่ชัดเจน นั่นแหละความรู้สึกนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ เวลาลมเข้าลมออกก็ให้รู้ให้ต่อเนื่องอยู่ที่ปลายจมูกของเราก็พอ ไม่ต้องตาม อันนี้ก็เรียกว่า ‘เจริญสติ’ ถ้ารู้ได้ต่อเนื่องเขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ภายในนาที 2 นาที 3 นาทีเพิ่มขึ้นไป 5 นาที 10 นาที เอาเรื่องเก่านี้แหละเรื่องการหายใจเข้าออกนี่แหละให้เกิดความเคยชินให้เป็นธรรมชาติที่สุด บางคนบางท่านพอสร้างความรู้สึกรับรู้อยู่ที่การหายใจ จิตก็อึดอัด สมองก็ตึง
ใหม่ๆ เป็นกันทุกคน เพราะว่าความไม่เคยชิน เคยชินเฉพาะหายใจแบบไม่ดูไม่รู้ เป็นธรรมชาติมากกว่า เราเลยมาเพิ่มความรู้สึกรับรู้เข้าไป ก็เลยอึดอัด ยิ่งอึดอัดเท่าไรเรายิ่งเพิ่มทำความเข้าใจให้เป็นธรรมชาติ ยิ่งหมั่นสังเกตหมั่นวิเคราะห์ว่าหายใจอย่างไรถึงเป็นธรรมชาติที่สุด รู้ไม่ทันเริ่มใหม่ๆ อันนี้เราสร้างขึ้นมาใหม่

สติรู้ตัวไม่มี เราถึงสร้างสติตัวนี้แหละขึ้นมาใหม่ แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่อง ส่วนการเกิดการดับของจิตนั้น ถ้าเรามีสติรู้ตัวรู้ลมหายใจอยู่ มันก็จะเห็นเป็นคนละส่วนกันทันที จิตจะส่งออกไปภายนอกเรื่องนู้นเรื่องนี้ ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน มันก็จะรู้จิต ถึงไม่รู้ต้นเหตุของการเกิด เขารู้ว่าจิตเกิดไปแล้ว เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกของการหายใจแรงๆ จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ

พยายามฝืนตรงนี้แหละ เพราะว่าจิตของคนเราชอบคิดชอบเที่ยว ชอบส่งออกไปข้างนอก แล้วก็เรื่องโน้นบางเรื่องนี้บ้างสารพัดเรื่อง แม้แต่ตัวจิตจริงๆ เขายังหลอกตัวเองอยู่ หลอกตัวเองยังไม่พอ แล้วไปหลงเอาความคิดหลงเอาขันธ์ห้า ที่เราสวดเราท่องกันตอนเช้าๆ ขันธ์ห้าเป็นของหนักเพราะว่าจิตของเรา ตัววิญญาณของเราก็ไปรวมกัน รวมกันกับขันธ์ห้าก็เลยทำให้กายหนัก ส่วนรูปกายของเรานี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในขันธ์ห้า ส่วนนามธรรมนั้นอีก 4 อย่าง อีก 4 ส่วน

ถ้าเราสังเกตเห็น จิตก็จะคลายออกด้วยการออกจากความคิดก็จะเห็นเป็นส่วน เห็นเป็น 3 ส่วนแล้วก็สังเกตลึกลงไปอีก ส่วนที่มาปรุงแต่งจิตเป็นเรื่องอะไร เป็นเรื่องอดีตเรื่องอนาคต เป็นกุศลหรือว่าอกุศล เขาเรียกว่ากองสังขาร ถ้าเราสังเกตดูชัดเจน เราก็จะเห็นตรงนี้ แต่ส่วนมากคนเราจะไม่ค่อยจะสังเกต แม้ตั้งแต่การเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันก็ทำกันไม่ค่อยจะได้ต่อเนื่อง ฝึกกันอยู่ได้กระท่อนกระแท่น วันหนึ่งบางทีอาจจะรู้ตัวอยู่สัก 5-6 เที่ยว หรือ 2-3 เที่ยว หรือบางทีไม่รู้เลย มีตั้งแต่ความคิดปัญญาเก่าๆ รู้อยู่ว่าคิดรู้อยู่ว่าทำอยู่ระดับนั้น

แต่ในส่วนลึกๆ เขาหลงอยู่ในความรู้ในสิ่งที่เราทำนั้นอยู่ เพราะว่าเราต้องมาสร้างความรู้ตัวตัวใหม่นี่แหละเข้าไปวิเคราะห์ ถึงจะปัญญามากมายถึงขนาดไหน เราก็อย่าเอาปัญญาเก่าๆ โลกๆ เข้ามาคิดเข้ามาวิเคราะห์เข้ามาพิจารณา ให้เรามาเจริญสติเข้าไปแยกเข้าไปคลาย เข้าไปตามดูให้ได้เสียก่อน ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงให้ได้ทุกเรื่องเสียก่อน เราจะเข้าใจในเรื่องอัตตาเข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจในเรื่องสมมติเข้าใจในเรื่องวิมุตติ เข้าใจในเรื่องโลก รอบรู้ในกองสังขาร พยายามเดินให้ถึงจุดนี้เสียก่อน ปัญญาตัวอื่นก็จะตามมาหมดนั่นแหละ ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงนั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘วิปัสสนา’

อย่าไปคิดว่าจะไปเจริญวิปัสสนาที่โน่น ไปเจริญวิปัสสนาที่นี่ อย่าเพิ่งไปพูดอย่าเพิ่งไปคิดตรงนั้น ไปเจริญสติให้ต่อเนื่อง ไปทำความเข้าใจ พยายาม อยู่ที่บ้านเราก็พยายามสร้างความรู้ตัวทำกับข้าวกับปลาก็สร้างความรู้ตัว ใหม่ๆ สติของเราก็อาจจะพลั้งเผลอ บางทีทำงานภายนอกสติก็หลงๆ ลืมๆ บางทีจะเอาดูภายในก็ลืมข้างนอก เอาข้างนอกก็ลืมข้างใน เราก็ต้องวางสักส่วนหนึ่งเสียก่อน วางภาระหน้าที่การงาน เรามาทำความเข้าใจ

ตามความเป็นจริงแล้ว เราก็พยายามทำสมมติให้เรียบร้อย ทำบ้านให้เรียบร้อย ที่พักที่อาศัยที่อยู่ที่หลับที่นอน ภาระหน้าที่การงานอะไรที่มันยังติดขัด ถึงไม่มีค่ามีราคามากมาย เราก็อย่าไปกังวล เราก็พยายามทำให้ดี เพราะว่าสิ่งนั้นก็จะเป็นตัวคลาย ไม่ได้เข้ามาฉุดรั้งดวงจิตของเราเอาไว้ เราต้องพยายามแก้ไข ถ้าครอบครัวยังลําบากอยู่ ครอบครัวยังลําบากอยู่ เรามานั่งไปนั่งสมาธิไปเดินจงกรมไปฝึกหัดปฏิบัติ ใจมันก็ไม่สงบหรอก เราก็ต้องพยายาม แก้ไขอะไรยังมีพันธะมีภาระอยู่เราก็รีบแก้ แก้ไขให้ดีตั้งแต่น้อยๆ ไปหามากขึ้นๆๆ มันก็จะเต็มรอบนั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ทำสมมติให้บริบูรณ์’

ถ้าสมมติยังไม่บริบูรณ์ ลูกคนโน้นก็ยังลําบาก ลูกคนนี้ก็ยังลําบาก อันโน้นก็ยังต้องแก้ไข อันนี้ก็ยังแก้ไข ให้เรารีบแก้ไข ให้เรารีบทำเท่าที่เราทำได้ วิบากกรรมตรงนั้น ก็เรียกว่า วิบากการกระทำตรงนั้นก็จะคลาย ไปอยู่ที่ไหนก็จิตใจก็จะสงบ อยู่บ้านก็สงบอยู่ที่ทำงานก็สงบ ถ้าเราเข้าใจในหลักธรรม ธรรมชาติภายในธรรมชาติภายนอก

แต่คนทั่วไปไม่เข้าใจ จะไปเอาตั้งแต่ธรรมอย่างเดียว จะไปเอาตั้งแต่ธรรมอย่างเดียว ปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ปฏิบัติแบบหลงๆ งมๆ งายๆ เราต้องรู้จักการเจริญสติเข้าไปทำความเข้าใจกับโลกธรรมแปดด้วย ทำความเข้าใจกับสมมติด้วย

สมมติ กายของเรานี่เป็นก้อนสมมติ กายของเรานี้ยังอยู่ ยุ่งเกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ยังยุ่งเกี่ยวกับสังคมสมมติอยู่ เราก็ต้องทำความเข้าใจสมมติ เคารพสมมติ ถ้าคนเราไม่เคารพสมมติก็จะทำให้วุ่นวาย อย่างเช่น ไม่เคารพพ่อ ไม่เคารพแม่ ไม่เคารพพี่เคารพน้อง ไม่เคารพครูบาจารย์ ไปอยู่ที่ไหนก็วุ่นวาย อยู่คนเดียวก็วุ่นวาย เพราะว่าไม่ทำความเข้าใจกับสมมติทั้งที่กายของเราก็ก้อนสมมติ แต่จิตของเรายังหลงอยู่ ก็ต้องพยายามกัน ล้มลุกคลุกคลานกัน แล้วก็พยายามเริ่ม เริ่มต้นอยู่บ่อยๆ ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขตัวเองใหม่อยู่ตลอดเวลา

นักปราชญ์บุคคลมีสติมีปัญญาหมั่นพร่ำสอนตัวเอง หมั่นแก้ไขตัวเอง รู้แนวทางนิดเดียว การละกิเลสเป็นอย่างนี้นะ การเจริญสติเป็นอย่างนี้นะ การสํารวจการก่อตัวของจิต การก่อตัวของขันธ์ห้า การตามดูการตามรู้ตามเห็น เรารู้ไม่ทัน เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุมเอาไว้ ทำความเข้าใจกับคําว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ปัจจุบันธรรมคือทุกขณะจิต ทุกขณะลมหายใจเข้าออก

ทำไมเราถึงจะรู้ได้ถึงขนาดนั้น เราก็ต้องเจริญสติเข้าไปแยกจิตออกจากขันธ์ห้า ถ้าเราแยกได้ตามทำความเข้าใจได้ กําลังสติกําลังรู้ตัวก็จะพุ่งแรง ตามทำความเข้าใจ แล้วก็มันพร่ำสอนจิต จนจิตหายความสงสัยได้ จนรู้จักละกิเลสได้ จนสติของเราที่เราฝึกเราฝนมา จนกลายเป็นปัญญาจนกลายเป็นมหาปัญญา จนไม่ได้ฝึกจนเป็นอัตโนมัติ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘มหาสติ มหาปัญญา’

เราต้องพยายามทำกัน เพียงแค่สร้างความรู้ตัว เราก็ยังสร้างไม่ค่อยต่อเนื่อง มันจะเป็นปัญญาได้อย่างไร ถ้าเราแยกได้ก็จะสนุกสนานในการดู ในการรู้ในการละ อยู่คนเดียวเราก็ทำพิจารณาตัวเองอยู่ตลอดเวลา แก้ไขตัวเองอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราก็ทำงานไปด้วยดูใจของเราไปด้วย ละนิวรณ์ไปด้วย ละความเกียจคร้านไปด้วย ละความเห็นแก่ตัวไปด้วย

เราจะมีตั้งแต่ความสงบความสุข อยู่กับบุญ ท่านถึงว่าทำกายให้เป็นบุญ ทำวาจาให้เป็นบุญทำใจให้เป็นบุญ ศีลสมาธิปัญญาก็อยู่ที่นี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก ศีลก็คือความปกติ ปกติของใจ ใจของเราก็ปกติ กายของเราก็ปกติ วาจาของเราปกติ อธิจิต อธิศีล อธิปัญญาก็อยู่ที่เดียวกันนี่แหละ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนหรอกถ้าถึงวาระถึงเวลา ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อ ได้เท่าไรก็พยายามทำเอา อันนี้เพียงแค่เล่าให้ฟัง พากันไว้พระพร้อมๆ กัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง