หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 075
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 075
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา นั่งตามสบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย หยุดความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้ทั่วท้องเหมือนกัน สัก 2-3 เที่ยว ความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากจิตก็จะหยุด กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น จิตของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด นั่นแหละ ความรู้สึกตรงนี้แหละ เราพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอแล้ว เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ถ้าเรารู้ชัดแจ้งชัดเจนแล้วว่าความรู้สึกนี้คือสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทันจิต เวลาจิตส่งออกไปภายนอกเราก็จะรู้เท่าทัน เวลาความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตเราก็จะรู้ จะทำอะไรเราก็จะรู้ รู้แล้วก็รู้จักควบคุม รู้จักดับ
แต่ส่วนมากเราจะไม่ได้เจริญสติตัวนี้ให้ต่อเนื่อง มีตั้งแต่ตัวจิตกับขันธ์ห้านึกคิดเอา ตื่นขึ้นมาก็ไปแล้ว ความคิดที่เกิดจากจิตก็ส่งไปภายนอกแล้ว มีความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้าก็ผุดขึ้นมารวมกันไปแล้ว ก็ทำตามความคิดตรงนั้นจนเกิดความเคยชิน จนเป็นอัตโนมัติในทางโลก
เราต้องมาสร้างความรู้สึกตัวใหม่ ซึ่งเรียกว่า ‘สร้างผู้รู้’ แต่เดิมนั้นจิตเป็นธาตุรู้ จิตเป็นธาตุรู้นั้นอยู่ส่วนจิต ธาตุรู้ แต่เขายังหลงอยู่ แต่เดิมนั้นจิตเป็นธาตุรู้ เวลานี้เขาหลงอยู่ หลงอยู่ในความคิด หลงอยู่ในอารมณ์ หลงท่องเที่ยว หลงเกิด บางทีก็เกิดกุศลบ้างอกุศลบ้าง บางทีก็ยึดสารพัดทุกสิ่งทุกอย่าง ลึกลงไปก็มายึดอยู่ในตัวตนของตัวเอง มายึดอยู่ในความคิด อยู่ในอารมณ์ มายึดอยู่ในอัตตาตัวตน ก็เลยเข้าไปยึดหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ทำอย่างไรเราถึงจะคลายตรงจุดนี้ให้ได้เสียก่อน
เราก็ต้องมาเจริญสติ แล้วก็น้อมกายน้อมใจของเราเข้ามา รู้จักการเจริญสร้างบารมี จิตใจของเรามีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีศรัทธาเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม แล้วก็เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วก็เดินตามคำสั่งสอนของท่าน การเจริญพรหมวิหารความเมตตา ความเสียสละ ความอดทน รู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของตัวเราอยู่ตลอดเวลา แล้วก็รู้จักการสร้างความรู้ตัว หรือว่าสร้างสติให้ต่อเนื่อง
การเจริญสติให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าเราทำให้ต่อเนื่องลงอยู่ที่กายของเราแล้ว เราก็จะรู้ลึกเข้าไปอีก คือรู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ฐานของจิต รู้อาการของความคิด จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ทำให้เกิดอัตตาตัวตน ทำให้หลงได้อย่างไร ถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ จิตของเราก็ยังอยู่แต่ในกองบุญ กำลังอยู่ในช่วงสร้างอานิสงส์สร้างบารมี
เราก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบที่สูง มีความเสียสละ เสียสละทั้งภายนอกเสียสละทั้งภายใน คลายออกให้หมดทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจของเรา จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญาที่จะเข้าไปทำหน้าที่แทน เราอยู่กับสมมติ เราก็เคารพสมมติ ไม่ทำลายสมมติแต่ไม่ยึดติดสมมติ สมมติว่าเป็นโน่น สมมติว่าเป็นนี่ สมมติว่าเป็นเรานี่แหละ อยู่ใกล้ๆ เรานี่แหละ
เราคือตัวตนของเรา อีกตนหนึ่งก็คือตัวใจ ตัวจิตตัวใจมาอาศัยกายนี้อยู่ ก็เลยมายึดเอากายนี้ว่าเป็นก้อนกายของเราจริงๆ แต่ในทางสมมตินั่นก็เป็นของเราจริงอยู่ แต่ในทางหลักธรรมแล้วก็เป็นแค่เพียงสภาวธรรม ที่กำเนิดเกิดก่อมาประชุมกันเข้า มาร่วมกันเข้ากลายเป็นขันธ์ กลายเป็นกอง ที่ท่านเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ มีส่วนรูปกับส่วนนาม
เราต้องมาจำแนกแจกแจงตรงนี้ แล้วก็มาชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราให้หมด ความทะเยอทะยานอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง แต่ความหลงนี่มันคลายได้ยาก ความโลภความโกรธนี่พอที่จะมองเห็นชัดเจน แต่กิเลสตัวละเอียดๆ ลึกลงไป พวกนิวรณธรรมต่างๆ พวกมลทินต่างๆ จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในราคะ รูปรสกลิ่นเสียง ขณะปัจจุบัน ขณะที่ตื่นอยู่นี่แหละ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม
ความรู้สึกตัวพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พวกเรายังสร้างกันไม่ได้ต่อเนื่องกันเลย อาจจะสร้างอยู่เพียงแค่กระท่อนกระแท่นบางครั้งบางคราว ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่องกัน จะลุกจะก้าวก็รู้เท่าทัน จะนึกจะคิดก็รู้เท่าทัน นั่นแหละเขาถึงเรียกว่า ‘สติต่อเนื่อง’ ต่อเนื่องรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน
ถ้าเราแยกรูปแยกนาม จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัวก็จะตามรู้ขันธ์ห้าที่เกิดๆ ดับๆ ก็จะรู้เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตาทันที เข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจเรื่องสมมติ เข้าใจเรื่องวิมุตติ มองเห็นหนทางทะลุปรุโปร่ง ว่าเราจะชำระสะสางกิเลสได้หมดหรือไม่
นั่นแหละ ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ เราก็จะเดินตามทางในอริยมรรคในองค์แปด สัมมาทิฏฐิข้อแรก มีความเห็นถูก แยกรูปแยกนาม แล้วเห็นจิตชัดเจน เห็นขันธ์ห้าชัดเจน ตามดูได้ชัดเจน เรียกว่าวิปัสสนาเริ่มเกิดเริ่มเปิดทางให้ อันนี้เพียงแค่ขึ้นถึงตัวเรือน
เหมือนกับเราสร้างบารมีส่วนอื่นมาเต็มเปี่ยม ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ปุ๊บ ก็เหมือนกับการก้าวขึ้นถึงตัวเรือน ภายในตัวเรือนนั้นยังมีกิเลสอีกมากมาย ยังสกปรกรกรุงรังอีก เราต้องสะสางอีก การเกิดของจิต จิตเป็นกุศลหรือว่าอกุศล เกิดกิเลสระดับไหน ระดับใหญ่ระดับเล็กระดับล่าง
การส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร ขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิตเป็นอย่างไร ต้องตามดูชำระสะสางอีกจนกว่าจะหมดจด จนกว่ากิเลสจะหมดจากจิตใจของเรา แต่คนส่วนมากจะไม่ค่อยสนใจตรงนี้เท่าไร มีตั้งแต่การทำบุญการให้ทาน หยุดอยู่ในระดับนี้เสียส่วนมาก แต่ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
ถ้าคนเราขยันหมั่นเพียร ก็พยายามยกระดับจิตของเราขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกว่าจะหมดจดถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น ไม่ต้องกลับมาเกิด เราก็จะมองเห็นหนทางว่า เราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด กิเลสตัวไหนยังเหลืออยู่ หรือว่ากิเลสตัวไหนดับได้แล้ว หรือว่าตัวไหนยังเหลืออยู่ ก็ต้องชำระสะสางกันต่อไป อันนี้เป็นเรื่องของทุกคนที่จะต้องทำความเข้าใจในชีวิต
การประพฤติวัตร การปฏิบัติ การเจริญสติ การเจริญสมาธิ การรักษาศีล ความหมายก็เพื่อที่จะชำระกิเลสออกจากจิตจากใจของเราให้หมดจด เราต้องทำความเข้าใจลักษณะของศีล ศีลลักษณะเป็นอย่างไร คือความปกติของกาย วาจา แล้วก็ลึกลงไปก็คือ จิต
อธิจิต อธิศีล อธิวินัย อธิจิตนั่นแหละคือศีล ความปกติ ความปกตินั่นแหละคือสมาธิ ความสงบนั่นแหละคือสมาธิ การแยกรูปแยกนามตามทำความเข้าใจได้นั่นล่ะ คือตัววิปัสสนา ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
เพียงแค่เราสร้างสติความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่องเลย จะไปเอาตั้งแต่ผลของเขา จะไปเอาตั้งแต่ความสงบ ความเยือกความเย็น ความว่างความโล่งความโปร่ง มันไม่ว่างหรอก สติยังไม่รู้เท่าทันเลย
มีตั้งแต่กิเลสเท่านั้นแหละ มันห้ำหั่นเอา มันหลอกเอา แม้แต่ตัวจิตของเราแท้ๆ มันก็ยังหลอกจิตของเราอยู่ แม้แต่ตัวตนของมันแท้ๆ มันยังหลอกอยู่ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความเสียสละมีความอดทนอดกลั้น มีความรับผิดชอบที่สูงต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
อันนี้ก็เป็นแค่เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปประพฤติไปปฏิบัติไปขัดเกลาตัวเราเอง ก็ยากที่จะเข้าใจ ไปปฏิบัติธรรมที่ไหนๆ ก็ดีหมด ขอให้ปฏิบัติให้ถูกทางถูกวิธี
เพียงแค่ทำความเข้าใจกับการสร้างสติให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อนจุดแรก พยายามดำเนินให้ได้ แล้วก็รู้จักควบคุมจิตให้ได้เสียก่อน ควบคุมจิต แล้วก็สังเกตการก่อตัวของจิต การก่อตัวของขันธ์ห้าให้ได้เสียก่อน ถ้านอกเหนือจากนี้ไปแล้วไม่ใช่หนทางเลยทีเดียว
เราต้องหัดสร้างสติ หัดสังเกต หัดแยก ตามทำความเข้าใจ แล้วก็ค่อยละ ทุกคนก็สร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีกันมา บางคนก็สร้างมามาก บางท่านก็สร้างมาน้อย บางคนบางท่านก็เกือบจะเต็ม เพียงแค่ชี้แนะแนวทางนิดเดียวก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง บางคนก็เที่ยวให้ตั้งแต่คนอื่นเขาขนาบ ขนาบแล้วขนาบอีกๆ เพราะว่าไม่เชื่อมั่นในตัวเอง เราต้องเชื่อมั่นในตัวเอง ให้เชื่อให้ถูกทาง ก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว
บุคคลมีสติปัญญาฟังแล้วไปทำตามไปดำเนินตาม ก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็ว อย่าไปท้อถอย พยายามพากันสร้างคุณงามความดี ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าไปทิ้งบุญ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา
สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้ทั่วท้องเหมือนกัน สัก 2-3 เที่ยว ความนึกคิดปรุงแต่งที่เกิดจากจิตก็จะหยุด กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น จิตของเราก็สงบตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเราก็จะเด่นชัด นั่นแหละ ความรู้สึกตรงนี้แหละ เราพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกพลั้งเผลอแล้ว เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ ถ้าเรารู้ชัดแจ้งชัดเจนแล้วว่าความรู้สึกนี้คือสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทันจิต เวลาจิตส่งออกไปภายนอกเราก็จะรู้เท่าทัน เวลาความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิตเราก็จะรู้ จะทำอะไรเราก็จะรู้ รู้แล้วก็รู้จักควบคุม รู้จักดับ
แต่ส่วนมากเราจะไม่ได้เจริญสติตัวนี้ให้ต่อเนื่อง มีตั้งแต่ตัวจิตกับขันธ์ห้านึกคิดเอา ตื่นขึ้นมาก็ไปแล้ว ความคิดที่เกิดจากจิตก็ส่งไปภายนอกแล้ว มีความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้าก็ผุดขึ้นมารวมกันไปแล้ว ก็ทำตามความคิดตรงนั้นจนเกิดความเคยชิน จนเป็นอัตโนมัติในทางโลก
เราต้องมาสร้างความรู้สึกตัวใหม่ ซึ่งเรียกว่า ‘สร้างผู้รู้’ แต่เดิมนั้นจิตเป็นธาตุรู้ จิตเป็นธาตุรู้นั้นอยู่ส่วนจิต ธาตุรู้ แต่เขายังหลงอยู่ แต่เดิมนั้นจิตเป็นธาตุรู้ เวลานี้เขาหลงอยู่ หลงอยู่ในความคิด หลงอยู่ในอารมณ์ หลงท่องเที่ยว หลงเกิด บางทีก็เกิดกุศลบ้างอกุศลบ้าง บางทีก็ยึดสารพัดทุกสิ่งทุกอย่าง ลึกลงไปก็มายึดอยู่ในตัวตนของตัวเอง มายึดอยู่ในความคิด อยู่ในอารมณ์ มายึดอยู่ในอัตตาตัวตน ก็เลยเข้าไปยึดหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ทำอย่างไรเราถึงจะคลายตรงจุดนี้ให้ได้เสียก่อน
เราก็ต้องมาเจริญสติ แล้วก็น้อมกายน้อมใจของเราเข้ามา รู้จักการเจริญสร้างบารมี จิตใจของเรามีความเสียสละเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรามีศรัทธาเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย เชื่อบุญเชื่อบาปเชื่อกรรม แล้วก็เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย แล้วก็เดินตามคำสั่งสอนของท่าน การเจริญพรหมวิหารความเมตตา ความเสียสละ ความอดทน รู้จักสำรวมกายอินทรีย์ของตัวเราอยู่ตลอดเวลา แล้วก็รู้จักการสร้างความรู้ตัว หรือว่าสร้างสติให้ต่อเนื่อง
การเจริญสติให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าเราทำให้ต่อเนื่องลงอยู่ที่กายของเราแล้ว เราก็จะรู้ลึกเข้าไปอีก คือรู้จิต รู้ลักษณะของจิต รู้ฐานของจิต รู้อาการของความคิด จิตของเราเคลื่อนเข้าไปรวมได้อย่างไร ทำให้เกิดอัตตาตัวตน ทำให้หลงได้อย่างไร ถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ จิตของเราก็ยังอยู่แต่ในกองบุญ กำลังอยู่ในช่วงสร้างอานิสงส์สร้างบารมี
เราก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบที่สูง มีความเสียสละ เสียสละทั้งภายนอกเสียสละทั้งภายใน คลายออกให้หมดทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจของเรา จะเอาจะมีจะเป็นก็เป็นเรื่องของปัญญาที่จะเข้าไปทำหน้าที่แทน เราอยู่กับสมมติ เราก็เคารพสมมติ ไม่ทำลายสมมติแต่ไม่ยึดติดสมมติ สมมติว่าเป็นโน่น สมมติว่าเป็นนี่ สมมติว่าเป็นเรานี่แหละ อยู่ใกล้ๆ เรานี่แหละ
เราคือตัวตนของเรา อีกตนหนึ่งก็คือตัวใจ ตัวจิตตัวใจมาอาศัยกายนี้อยู่ ก็เลยมายึดเอากายนี้ว่าเป็นก้อนกายของเราจริงๆ แต่ในทางสมมตินั่นก็เป็นของเราจริงอยู่ แต่ในทางหลักธรรมแล้วก็เป็นแค่เพียงสภาวธรรม ที่กำเนิดเกิดก่อมาประชุมกันเข้า มาร่วมกันเข้ากลายเป็นขันธ์ กลายเป็นกอง ที่ท่านเรียกว่า ‘ขันธ์ห้า’ มีส่วนรูปกับส่วนนาม
เราต้องมาจำแนกแจกแจงตรงนี้ แล้วก็มาชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเราให้หมด ความทะเยอทะยานอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง แต่ความหลงนี่มันคลายได้ยาก ความโลภความโกรธนี่พอที่จะมองเห็นชัดเจน แต่กิเลสตัวละเอียดๆ ลึกลงไป พวกนิวรณธรรมต่างๆ พวกมลทินต่างๆ จิตของเรามีความกำหนัดยินดีในราคะ รูปรสกลิ่นเสียง ขณะปัจจุบัน ขณะที่ตื่นอยู่นี่แหละ จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม
ความรู้สึกตัวพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา พวกเรายังสร้างกันไม่ได้ต่อเนื่องกันเลย อาจจะสร้างอยู่เพียงแค่กระท่อนกระแท่นบางครั้งบางคราว ถ้าเราสร้างให้ต่อเนื่องกัน จะลุกจะก้าวก็รู้เท่าทัน จะนึกจะคิดก็รู้เท่าทัน นั่นแหละเขาถึงเรียกว่า ‘สติต่อเนื่อง’ ต่อเนื่องรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน
ถ้าเราแยกรูปแยกนาม จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัวก็จะตามรู้ขันธ์ห้าที่เกิดๆ ดับๆ ก็จะรู้เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตาทันที เข้าใจในเรื่องอัตตา เข้าใจในเรื่องอนัตตา เข้าใจเรื่องสมมติ เข้าใจเรื่องวิมุตติ มองเห็นหนทางทะลุปรุโปร่ง ว่าเราจะชำระสะสางกิเลสได้หมดหรือไม่
นั่นแหละ ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ เราก็จะเดินตามทางในอริยมรรคในองค์แปด สัมมาทิฏฐิข้อแรก มีความเห็นถูก แยกรูปแยกนาม แล้วเห็นจิตชัดเจน เห็นขันธ์ห้าชัดเจน ตามดูได้ชัดเจน เรียกว่าวิปัสสนาเริ่มเกิดเริ่มเปิดทางให้ อันนี้เพียงแค่ขึ้นถึงตัวเรือน
เหมือนกับเราสร้างบารมีส่วนอื่นมาเต็มเปี่ยม ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้ปุ๊บ ก็เหมือนกับการก้าวขึ้นถึงตัวเรือน ภายในตัวเรือนนั้นยังมีกิเลสอีกมากมาย ยังสกปรกรกรุงรังอีก เราต้องสะสางอีก การเกิดของจิต จิตเป็นกุศลหรือว่าอกุศล เกิดกิเลสระดับไหน ระดับใหญ่ระดับเล็กระดับล่าง
การส่งออกไปภายนอกเป็นอย่างไร ขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิตเป็นอย่างไร ต้องตามดูชำระสะสางอีกจนกว่าจะหมดจด จนกว่ากิเลสจะหมดจากจิตใจของเรา แต่คนส่วนมากจะไม่ค่อยสนใจตรงนี้เท่าไร มีตั้งแต่การทำบุญการให้ทาน หยุดอยู่ในระดับนี้เสียส่วนมาก แต่ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ
ถ้าคนเราขยันหมั่นเพียร ก็พยายามยกระดับจิตของเราขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกว่าจะหมดจดถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น ไม่ต้องกลับมาเกิด เราก็จะมองเห็นหนทางว่า เราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิด กิเลสตัวไหนยังเหลืออยู่ หรือว่ากิเลสตัวไหนดับได้แล้ว หรือว่าตัวไหนยังเหลืออยู่ ก็ต้องชำระสะสางกันต่อไป อันนี้เป็นเรื่องของทุกคนที่จะต้องทำความเข้าใจในชีวิต
การประพฤติวัตร การปฏิบัติ การเจริญสติ การเจริญสมาธิ การรักษาศีล ความหมายก็เพื่อที่จะชำระกิเลสออกจากจิตจากใจของเราให้หมดจด เราต้องทำความเข้าใจลักษณะของศีล ศีลลักษณะเป็นอย่างไร คือความปกติของกาย วาจา แล้วก็ลึกลงไปก็คือ จิต
อธิจิต อธิศีล อธิวินัย อธิจิตนั่นแหละคือศีล ความปกติ ความปกตินั่นแหละคือสมาธิ ความสงบนั่นแหละคือสมาธิ การแยกรูปแยกนามตามทำความเข้าใจได้นั่นล่ะ คือตัววิปัสสนา ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
เพียงแค่เราสร้างสติความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง พวกเราก็ยังทำกันไม่ต่อเนื่องเลย จะไปเอาตั้งแต่ผลของเขา จะไปเอาตั้งแต่ความสงบ ความเยือกความเย็น ความว่างความโล่งความโปร่ง มันไม่ว่างหรอก สติยังไม่รู้เท่าทันเลย
มีตั้งแต่กิเลสเท่านั้นแหละ มันห้ำหั่นเอา มันหลอกเอา แม้แต่ตัวจิตของเราแท้ๆ มันก็ยังหลอกจิตของเราอยู่ แม้แต่ตัวตนของมันแท้ๆ มันยังหลอกอยู่ ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร มีความเสียสละมีความอดทนอดกลั้น มีความรับผิดชอบที่สูงต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
อันนี้ก็เป็นแค่เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปประพฤติไปปฏิบัติไปขัดเกลาตัวเราเอง ก็ยากที่จะเข้าใจ ไปปฏิบัติธรรมที่ไหนๆ ก็ดีหมด ขอให้ปฏิบัติให้ถูกทางถูกวิธี
เพียงแค่ทำความเข้าใจกับการสร้างสติให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อนจุดแรก พยายามดำเนินให้ได้ แล้วก็รู้จักควบคุมจิตให้ได้เสียก่อน ควบคุมจิต แล้วก็สังเกตการก่อตัวของจิต การก่อตัวของขันธ์ห้าให้ได้เสียก่อน ถ้านอกเหนือจากนี้ไปแล้วไม่ใช่หนทางเลยทีเดียว
เราต้องหัดสร้างสติ หัดสังเกต หัดแยก ตามทำความเข้าใจ แล้วก็ค่อยละ ทุกคนก็สร้างอานิสงส์สร้างตบะบารมีกันมา บางคนก็สร้างมามาก บางท่านก็สร้างมาน้อย บางคนบางท่านก็เกือบจะเต็ม เพียงแค่ชี้แนะแนวทางนิดเดียวก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง บางคนก็เที่ยวให้ตั้งแต่คนอื่นเขาขนาบ ขนาบแล้วขนาบอีกๆ เพราะว่าไม่เชื่อมั่นในตัวเอง เราต้องเชื่อมั่นในตัวเอง ให้เชื่อให้ถูกทาง ก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วได้ไว
บุคคลมีสติปัญญาฟังแล้วไปทำตามไปดำเนินตาม ก็จะถึงจุดหมายปลายทางได้เร็ว อย่าไปท้อถอย พยายามพากันสร้างคุณงามความดี ก็ต้องพยายามกันนะ อย่าไปทิ้งบุญ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา