หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 066

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 066
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 066
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ญาติโยมก็พากันมาวัด บางวันก็เยอะบางวันก็น้อย ก็ช่วยกัน ชีเราก็ช่วยกัน อย่าพากันเกียจคร้าน อย่าพากันเห็นแก่ตัว พากันขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ มีความเสียสละ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีอะไรก็ช่วยกันไม่ใช่ว่าเกี่ยงงอนกัน อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข ถ้าแก่งแย่งกันเกี่ยงงอนกันนั้นใช้การไม่ได้ อยู่คนเดียวก็ทุกข์อยู่หลายคนก็ทุกข์ ถ้าเกียจคร้านเราละความเกียจคร้านเสีย เพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้กับตัวเอง เพิ่มความรับผิดชอบให้แก่ตัวเอง ไปเที่ยวไปที่โน่นไปที่นี่ เห็นชีหลายๆ สำนัก บางทีมีสองคนก็ไม่ถูกกัน เถียงกันแย่งกัน แย่งกันเป็นใหญ่

ทำไมถึงว่าแย่งกันเป็นใหญ่ ชีอายุมากก็อายุ 60-70 ก็เพิ่งบวช ชีหนุ่มอายุ 15-16 ก็บวชหลายพรรษาได้ 5-6 พรรษา ชีอายุมากก็ว่าตัวเองอายุแก่ต้องเป็นใหญ่ รุ่นแม่แล้วว่าอย่างนั้น ไอ้ชีคนเล็กก็บอกว่าฉันบวชนาน 5-6 ปีแล้วฉันต้องเป็นใหญ่ เถียงกันไปเถียงกันมา เอาชามข้าวใส่กันอีรุงตุงนังเลย แค่สองคนก็ยังไม่ถูกกัน อันนี้ชีเราเท่าไร เป็นโหล ถูกกันดีหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ถ้าไม่ถูกกันแล้วก็ได้เอาไปซื้อนวมมาแขวนเอาไว้ ที่จุดนั้นบ้างจุดนี้บ้าง จะได้มองเห็นนวมอยู่บ่อยๆ จะได้ต่อยกันไม่ต้องใช้มือ ใช้นวม คงไม่ได้ยินข่าวหรอกนะ

ถ้าใครมีจิตที่ไม่เป็นปกติกับหมู่กับคณะ หรือว่าจิตที่เป็นอกุศล ก็ให้พิจารณาตัวเองทันที เราเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์ เป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวาง มีความรับผิดชอบ มีพรหมวิหาร มีอะไรก็ช่วยกัน นั่นแหละถึงไม่เสียทีเสียเที่ยวที่ได้เกิดมา ได้มาฝึก ผู้หญิงผู้ชายในหลักธรรมแล้วก็มีดวงจิตวิญญาณเหมือนกันหมด ปฏิบัติถ้าเข้าถึงที่ถึงทางก็ถึงเหมือนกันหมด ถึงช้าถึงเร็ว


ถ้าจิตยังเป็นโลกอยู่ ยังเป็นโลกๆ อยู่มันก็ไปไม่ถึงไหน เห็นหลายที่ๆ พวกชี ไปที่อื่นเขาไม่อนุเคราะห์ให้มากมายถึงขนาดนี้ บางที่นี่ปลูกต้นไม้อยู่ด้วยกัน ปลูกพริกปลูกเขือปลูกมะละกอ อยู่ด้วยกันใหม่ๆ ก็ถูกกันดี ดูแลช่วยกัน พอมะละกอเริ่มให้ผล พริกเริ่มให้ผลก็เริ่มแย่งกันแล้วทีนี้ ของกูของมึงๆ ผิดให้กันๆ ว่ากัน โกรธให้กัน พอโกรธให้กันแล้วก็ถอนพริก ถอนต้นพริกถอนต้นมะละกอ ก็เยอะ เห็นเยอะอยู่บ่อยๆ

แล้วก็ชีทางบ้านไผ่เมืองพลก็เหมือนกัน 5-6 คน มากราบหลวงพ่อสมัยนั้น พูดกันดี๊ดี ชวนกันไปปฏิบัติธรรม ถูกคอกันดีมีความสุข บอกว่าอย่างนั้น มีความสุขไปปฏิบัติธรรมกลมเกลียวกันก่อนเข้าพรรษา พอออกพรรษาเห็นใส่กางเกงหัวโล้นมาทุกคน “อ้าวทำไมถึงสึกแล้ว” “หลวงตาไล่สึกแล้ว” “ทำไมล่ะ” ต่อยกันตีกันขึ้นโรงพัก อย่างนั้นหลวงตาจะเอาอยู่ได้อย่างไรล่ะ ก็ต้องให้สึกสิ ต่อยกันตีกันจนขึ้นโรงพัก จะมาขอบวชอยู่กับหลวงพ่อใหม่ว่าอย่างนั้น หลวงพ่อก็เลยบอกว่า โน่น กลับไปบวชกับหลวงตาให้ได้เสียก่อนค่อยกลับมาอยู่กับหลวงพ่อใหม่ ป่านนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้นะ นี่แหละทิฏฐิมานะของผู้หญิง

ผู้หญิงอยู่คนเดียวหรืออยู่หลายคนก็เรื่องมาก ถ้าไม่ฝักใฝ่สนใจ ถ้าไม่ดับ มีทิฏฐิ คอยว่า คอยอคติ คอยเพ่งโทษ คอยอิจฉาริษยาซึ่งกันและกัน ความอิจฉามันเยอะ เราต้องพยายามใช้ความอดทนให้มาก สร้างตบะให้มาก

หลวงพ่ออนุเคราะห์ให้ทุกคนเสมอภาคกันหมด หลวงพ่อก็พยายามให้ทุกคนอยู่ในธรรม จะไม่พยายามใช้อำนาจที่มีอยู่ในสถานที่ตรงนี้เข้าไปบังคับใคร บอกด้วยสติบอกด้วยปัญญา บอกด้วยเหตุบอกด้วยผล ถ้าบอกไม่เชื่อฟังก็ออกจากวัดทันทีเลย ไม่ว่าชีว่าพระก็เหมือนกัน เพราะว่ากว่าจะได้มาเป็นสถานที่น่าอยู่น่าอาศัย น่าประพฤติน่าปฏิบัติได้ก็ต้องอดทนอดกลั้นสารพัดอย่าง ผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว ลำบากทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ทุกสิ่งทุกอย่าง จนทุกสิ่งทุกอย่างอำนวยความสะดวกให้ ยังจะพากันมาทะเลาะเบาะแว้งกันก็ไม่ไหว ใช้การไม่ได้ อยู่ที่นี่ก็อยู่ด้วยกันเหมือนพ่อเหมือนแม่ เหมือนพี่เหมือนน้อง ต่างคนก็ต่างรู้จักหน้าที่ ต่างคนก็ต่างรับผิดชอบ ก็ยังไม่ได้ยินข่าวหรอก ก็ยังไม่มีหรอก เล่าให้ฟังเฉยๆ หรอก

อยู่ที่วัดเราก็ พระเราก็ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบที่สูง ใครมีความเกียจคร้านก็แก้ไขตัวเอง คนเข้ามาบวชต้องเป็นคนขยันจริงๆ คนขยัน คนรับผิดชอบ เป็นคนที่เสียสละ ไม่ใช่ว่าเข้ามาในวัดแล้วก็มามีตั้งแต่ความเกียจคร้าน ยิ่งฆราวาสญาติโยมเข้ามาอยู่ในวัด มีอะไรก็พอช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยกัน ทุกสิ่งทุกอย่าง เราดูกำลังของเรา ไม่ใช่ว่ามาเกียจคร้านภายในวัดแล้วก็ใช้การไม่ได้ ฝึกฝนให้มันรอบ รอบทั้งภายในรอบทั้งภายนอก เราก็จะอยู่ดีมีความสุข

หลวงพ่อก็จะพาทำงานใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ใหญ่ทางด้านบุญด้านกุศล ใหญ่ทางด้านจิตใจ จนกว่าจะเป็นมหาแห่งกองบุญใหญ่เลย ณ สถานที่ตรงนี้ในวันข้างหน้า ถ้ามาตั้งแต่เกี่ยงงอนกัน มาตั้งแต่อคติเพ่งโทษกัน มีแต่ความเกียจคร้านจะไปทำงานใหญ่ได้อย่างไร งานใหญ่ก็ต้องมีความอดทนอดกลั้น มีความเสียสละ ถึงจะถึงจุดหมายปลายทางได้ ไม่ใช่ว่ามาเห็นแก่ตัว มามีตั้งแต่ความเกียจคร้าน มีอะไรก็ช่วยกัน ตั้งใจรับพร

ขอให้ทุกคนสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเอง หรือว่าเจริญสติกันให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน ทำใจให้สงบจากความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเรา สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ อันนี้เป็นอุบายสร้างความรู้ตัว แล้วก็สร้างพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง ซึ่งเรียกว่า ‘อานาปานสติ’

เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน แล้วก็รู้จักเอาไปวิเคราะห์ รู้เท่าทันจิต รู้เท่าทันความคิด รู้เท่าทันอารมณ์ รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเราเอง เราทำตรงนี้ให้เกิดความเคยชิน ต่อไปก็จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง รู้หนทางเดิน อะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศล อะไรควรละอะไรควรเจริญ เราก็จะมีตั้งแต่ความเป็นสิริมงคลเกิดขึ้นในชีวิตของเราตลอดเวลา แล้วก็เจริญพรหมวิหารความเมตตา

พรหมวิหารก็มีหลายระดับ พรหมวิหารอยู่ในระดับของโลกิยะ พรหมวิหารอยู่ในระดับของวิปัสสนาภูมิ คือโลกุตระ คือคลายจิตออกจากความหลงทุกสิ่งทุกอย่าง ละการเกิดของจิตออกให้หมด อันนั้นเป็นพรหมวิหารของบุคคลที่มีความเพียรอย่างยิ่งยวด เราก็ต้องพยายามเดิน ให้มันอย่างน้อยๆ ก็ให้ได้รับความสงบก็ยังดี สัก 5 นาที 10 นาที แต่ละวันให้จิตได้พักผ่อน

เรื่องการสร้างอานิสงส์ การทำบุญให้ทานทุกคนมีกัน ฝักใฝ่สนใจอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรารู้จักสำรวจเรา เราจะสำรวจได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ไม่ได้เลือกกาลเลือกเวลา ขณะยื่นนั่งนอนกินอยู่ขับถ่าย พิจารณาตัวเอง แก้ไขตัวเอง จนกระทั่งวันหมดลมหายใจ

เราก็จะไม่เสียทีเสียเที่ยวที่เกิดมาหรอก แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างอานิสงส์อะไรให้กับตัวเรา เราละความเกียจคร้านให้เราแล้วหรือยัง เราสร้างความรับผิดชอบให้แก่ตัวเราแล้วหรือยัง เรามีความขยันหมั่นเพียร เสียสละให้กับตัวเอง ให้กับหมู่ให้กับคณะ ให้กับสถานที่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เป็นบุญทั้งนั้นแหละ ถ้าคนเรารู้จักเอาบุญ ถ้าเรามีตั้งแต่ความเกียจคร้านอานิสงส์มันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร มีตั้งแต่พอกพูนเหมือนกับดินพอกหางหมู นิวรณ์ก็เข้าครอบงำ ความเกียจคร้านครั้งหนึ่ง สองครั้ง สามครั้งก็พอกพูนขึ้นๆ ก็ปิดกั้นตัวเองเอาไว้หมด ปิดกั้นหนทางเดิน ปิดกั้นดวงจิตไว้หมด

ถ้าเราหมั่นขัดเกลา หมั่นเอาออก หมั่นทำความเข้าใจ รู้จักควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ รู้จักใช้สติใช้ปัญญาในทางที่ถูกที่ควร รู้จักสร้างประโยชน์ มันก็จะมากขึ้นๆ อาศัยความอดทน อาศัยกาลอาศัยเวลา อาศัยการกระทำที่ต่อเนื่อง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะมีตั้งแต่ความเป็นสิริมงคลเกิดขึ้นในชีวิต จนเต็มรอบนั่นแหละทั้งภายในและภายนอก ภายนอกสมมติต่างๆ ก็ไม่ลำบากไม่อดไม่อยาก เพราะอำนาจแห่งบุญอำนาจแห่งกุศล จะหลั่งไหลมาหมดนั่นแหละ ทั้งใกล้ทั้งไกลทั้งในทั้งนอกประเทศ ในประเทศก็จะหลั่งไหลมาหมดนั่นแหละ

อีกต่อไปในวันข้างหน้าหลวงพ่อพาสร้างอานิสงส์ ตรงไหนที่เป็นบุญเป็นอานิสงส์หลวงพ่อก็จะพาทำหมดทุกเรื่อง จากน้อยๆ ไปหามากๆ จากไม่มีก็ทำให้มี ทั้งภายในภายนอก ภายในคือทางด้านจิตทางด้านนามธรรม สติไม่มีก็ย้ำให้มีให้สร้างขึ้นให้มีให้ต่อเนื่อง ความเสียสละไม่มีก็พาทำ เสียสละกำลังกายกำลังใจ

ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่ก็เป็นการสร้างบารมีสร้างอานิสงส์ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าจะไปเห็นตั้งแต่แก่ตัว เห็นแก่กินแก่หลับแก่นอน แก่ความเกียจคร้าน ทุกคนต้องขยัน ขยันมากขยันน้อย ขยันรู้จักพิจารณาตัวเอง แก้ไขตัวเองตัวเอง ถึงจะได้ไม่เสียทีที่ได้เข้ามาในวัด ก็ต้องพยายามกันนะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปทำความเข้าใจต่อกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง