หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 049
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 049
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคนทุกท่านจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อน หยุดความคิด หยุดความกังวล หยุดความฟุ้งซ่านต่างๆ เอาไว้ให้หมด ลองสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออก นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องสัก 2-3 เที่ยว แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกสบายขึ้น อย่าไปเพ่ง อย่าไปจดจ่อ อย่าไปจดจ้อง เพียงแค่เราปล่อยให้เป็นธรรมชาติ
เราสูดลมหายใจยาวๆ ก็เพื่อที่จะกายของเราก็จะได้สงบระงับขึ้น จิตของเราก็จะได้ตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมเวลากระทบปลายจมูก ความรู้สึกก็จะเด่นชัด นั่นแหละให้เราพยายามสร้างความรู้ตัว แล้วพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง
อันนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญสติ ส่วนจิตก็ปกติอยู่ เวลาจิตก่อตัวจิตเกิดส่งออกไปภายนอก ก็จะเห็นเป็น 2 ส่วน ความรู้สึกส่วนหนึ่ง ส่วนจิตเกิดส่งไปข้างนอกนั้นส่วนหนึ่ง เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจใหม่ จิตก็จะกลับมาอยู่ในกายของเรา มาอยู่กับลมหายใจเอง ไม่ใช่ให้เอาตัวจิตไปจดจ่อ
เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน แม้ตั้งแต่การหายใจเข้าออก พวกเราก็ยังสร้างความรู้สึกไม่ต่อเนื่อง ทั้งที่จิตก็ฝักใฝ่ในบุญอยู่ ฝักใฝ่ในบุญในการสร้างบุญสร้างบารมีกัน แสวงหาบุญกันตลอดเวลา
แต่ในหลักธรรมแล้วให้เราทำด้วยสติ ทำด้วยปัญญา ให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริง แต่เวลานี้จิตของเรายังเกิดอยู่ ยังส่งไปภายนอกอยู่ ยังเป็นทาสของอารมณ์ ยังเป็นทาสของกิเลสอยู่ แล้วก็ยังเข้าไปหลงในขันธ์ห้า เข้าไปร่วมเข้าไปยึดจนเกิดอัตตาตัวตน แล้วก็ยังมีทิฏฐิมีมานะอยู่
เราต้องพยายามสร้างตัวรู้ตัวใหม่เข้าไป หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราเอง จิตของเราเกิดส่งไปข้างนอก เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด ถ้าเราฝึกฝนให้เกิดความเคยชินแล้วจะสบาย กายของเราก็สบายใจของเราก็สบาย ถ้าจิตไม่เป็นทาสของอารมณ์ จิตไม่หลงขันธ์ห้า จิตไม่มีความทะเยอทะยานอยาก จิตไม่มีกิเลส เขาก็สงบเขาก็นิ่งเขาก็โล่งเขาก็โปร่ง
ถ้าเราจะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องสติเรื่องของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน จะเอามากเอาน้อย ขยันหมั่นเพียรมากขยันหมั่นเพียรน้อย ก็ขยันด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ขยันด้วยความอยากที่เกิดจากกิเลสที่เกิดจากตัวจิต แล้วก็รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา เป็นคนมีเหตุมีผล เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันตลอดเวลา
อันนี้จะพูดไปก็ง่ายอยู่ แต่การกระทำแล้วมันยาก ถ้าคนเราไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ แม้แต่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ท่านก็ยังละ ไม่ให้เกิดขึ้นที่จิต อยากจะรู้ธรรมท่านก็ยังให้ดับอีก ให้ดับให้หยุด ถ้าเป็นความอยากที่เกิดจากตัวจิต เราต้องรู้ให้ชัดเจนอันนี้คือจิต อันนี้คือความรู้ตัวหรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้อาการของจิต หรือว่าการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต
แม้ตั้งแต่สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เรายังสร้างไม่ต่อเนื่องกัน มันก็ยากที่จะไปเดินปัญญา แยกรูปแยกนาม แยกจิตแยกความคิดแยกอารมณ์ได้ ตามทำความเข้าใจได้ รู้เรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาได้ จะรู้อยู่บ้างเพียงแค่ผิวเผินเล็กๆน้อยๆ แต่ไม่รู้รายละเอียด เราต้องให้รู้รายละเอียด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ จะทำอะไรจิตก็รับรู้อยู่ นิ่งรับรู้อยู่ในความปกติ บางทีก็เกิดปีติเกิดสุข ถ้ากำลังสติของเรามีมาก จิตเขาก็จะฉายแววออกมาให้เห็น
ใหม่ๆ ก็ต่อสู้กัน กุศลกับอกุศล สมถะหนุนกำลังสติ สมถะขณะที่จิตเกิดนี่แหละ ดับขณะที่จิตเกิดนี่แหละ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ตัดความสงสัยความกังวลความลังเลต่างๆ ออกไปให้หมดเสีย ให้เหลือแต่กำลังสติกำลังปัญญาเข้าไปวิเคราะห์ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง รู้ไม่ทันต้นเหตุก็เริ่มใหม่ รู้ไม่ทันก็เริ่มใหม่ เริ่มอยู่บ่อยๆ ถึงจะช้าก็อดทนในการเจริญสติให้ได้เสียก่อน
อานิสงส์บารมีนั้นมีกันเต็มเปี่ยมกันทุกคนอยู่แล้วแหละ แต่กำลังสติสมาธิ การสังเกตการแยกแยะ ตัวเดินปัญญาเข้าสู่วิปัสสนา อย่าไปคิดว่าไปนั่งวิปัสสนาไปเดินวิปัสสนา อันนั้นคิดผิด ไปสร้างความรู้ตัวไปสร้างสติให้ได้เสียก่อน
ถ้าจิตคลายออกจากขันธ์ห้าเมื่อไหร่ ถึงจะเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ ถึงจะเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ตามทำความเข้าใจเห็นสภาวะอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ ของตัวเราเอง
กายของเราก็มีอยู่ 5 ขันธ์ที่รวมกันอยู่ เหมือนกับเชือกเส้นเดียวที่รวมกันอยู่ อาศัยกันอยู่ ถ้ามองในปัญญาในทางสมมติก็เป็นเราอยู่ แต่มองในหลักธรรมแล้ว เราต้องพยายามจำแนกแจกแจงออกให้เห็นตามความเป็นจริง นู่นแหละ หมดลมหายใจนั่นแหละ เขาถึงจะแยกจากกันได้จริงๆ แต่เราแยกด้วยสติ แยกด้วยปัญญา แยกด้วยความรู้สึกรับรู้ เห็นตามสภาวะความเป็นจริง ถึงจะเข้าถึงตรงนี้ได้
เราอยู่กับสมมติเราก็ต้องเคารพสมมติ ทำหน้าที่ของสมมติให้ดี หมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเราตลอดเวลา หมั่นทำบุญตลอดเวลา ตื่นขึ้นมาเรามีความเกียจคร้านเราก็ละความเกียจคร้าน เราไม่มีความรับผิดชอบเราก็เพิ่มความรับผิดชอบให้สูง เป็นคนมีความเสียสละ มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดี ก่อนที่จะคิดหยุดคิดเสียก่อน อะไรเป็นตัวคิด ตัวสติปัญญาเป็นตัวคิด หรือว่าตัวจิตตัวขันธ์ห้ามาปรุงแต่ง
เราต้องเก็บรายละเอียดต่างๆ ให้ได้ละเอียดมากที่สุด จนจิตยอมรับความเป็นจริง แล่วก็หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราตลอดเวลา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสพร้อมมูลกันหมด
ทุกคนมีโอกาสสร้างบุญบารมีกันหมด เราอยู่รวมกัน อีกสักหน่อยเราต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ ขณะที่เรายังมีลมมีชีวิตอยู่เราก็ต้องพยายามสร้างคุณงามความดี หมั่นสร้างคุณงามความดี สมัครสมานสามัคคีช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
อยู่ร่วมกันมากก็มีความสุข อยู่ร่วมกันน้อยก็มีความสุข ถ้าคนเรารู้จักหน้าที่รู้จักรับผิดชอบ ถ้าคนเราไม่รู้จักหน้าที่รับผิดชอบ อยู่คนเดียวก็ทุกข์อยู่หลายคนก็ทุกข์ ยิ่งเป็นภาระหนักให้หมู่ให้คณะให้เพื่อนให้ฝูง หนักแผ่นดินหนักตัวเราเอง แล้วก็หนักสมมติหนักแผ่นดิน เราต้องพยายามสร้างคุณงามความดี สร้างบุญให้ได้ตลอดเวลา พยายามหมั่นขวนขวายกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ
เราสูดลมหายใจยาวๆ ก็เพื่อที่จะกายของเราก็จะได้สงบระงับขึ้น จิตของเราก็จะได้ตั้งมั่นขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมเวลากระทบปลายจมูก ความรู้สึกก็จะเด่นชัด นั่นแหละให้เราพยายามสร้างความรู้ตัว แล้วพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง
อันนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการเจริญสติ ส่วนจิตก็ปกติอยู่ เวลาจิตก่อตัวจิตเกิดส่งออกไปภายนอก ก็จะเห็นเป็น 2 ส่วน ความรู้สึกส่วนหนึ่ง ส่วนจิตเกิดส่งไปข้างนอกนั้นส่วนหนึ่ง เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจใหม่ จิตก็จะกลับมาอยู่ในกายของเรา มาอยู่กับลมหายใจเอง ไม่ใช่ให้เอาตัวจิตไปจดจ่อ
เราพยายามฝึกให้เกิดความเคยชิน แม้ตั้งแต่การหายใจเข้าออก พวกเราก็ยังสร้างความรู้สึกไม่ต่อเนื่อง ทั้งที่จิตก็ฝักใฝ่ในบุญอยู่ ฝักใฝ่ในบุญในการสร้างบุญสร้างบารมีกัน แสวงหาบุญกันตลอดเวลา
แต่ในหลักธรรมแล้วให้เราทำด้วยสติ ทำด้วยปัญญา ให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริง แต่เวลานี้จิตของเรายังเกิดอยู่ ยังส่งไปภายนอกอยู่ ยังเป็นทาสของอารมณ์ ยังเป็นทาสของกิเลสอยู่ แล้วก็ยังเข้าไปหลงในขันธ์ห้า เข้าไปร่วมเข้าไปยึดจนเกิดอัตตาตัวตน แล้วก็ยังมีทิฏฐิมีมานะอยู่
เราต้องพยายามสร้างตัวรู้ตัวใหม่เข้าไป หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราเอง จิตของเราเกิดส่งไปข้างนอก เราก็รู้จักดับรู้จักควบคุม ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด ถ้าเราฝึกฝนให้เกิดความเคยชินแล้วจะสบาย กายของเราก็สบายใจของเราก็สบาย ถ้าจิตไม่เป็นทาสของอารมณ์ จิตไม่หลงขันธ์ห้า จิตไม่มีความทะเยอทะยานอยาก จิตไม่มีกิเลส เขาก็สงบเขาก็นิ่งเขาก็โล่งเขาก็โปร่ง
ถ้าเราจะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องสติเรื่องของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน จะเอามากเอาน้อย ขยันหมั่นเพียรมากขยันหมั่นเพียรน้อย ก็ขยันด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ขยันด้วยความอยากที่เกิดจากกิเลสที่เกิดจากตัวจิต แล้วก็รับผิดชอบด้วยสติด้วยปัญญา เป็นคนมีเหตุมีผล เอาไปใช้กับชีวิตประจำวันตลอดเวลา
อันนี้จะพูดไปก็ง่ายอยู่ แต่การกระทำแล้วมันยาก ถ้าคนเราไม่ขยันหมั่นเพียรจริงๆ แม้แต่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ท่านก็ยังละ ไม่ให้เกิดขึ้นที่จิต อยากจะรู้ธรรมท่านก็ยังให้ดับอีก ให้ดับให้หยุด ถ้าเป็นความอยากที่เกิดจากตัวจิต เราต้องรู้ให้ชัดเจนอันนี้คือจิต อันนี้คือความรู้ตัวหรือว่าสติที่เราสร้างขึ้นมา อันนี้อาการของจิต หรือว่าการของขันธ์ห้าที่ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต
แม้ตั้งแต่สติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เรายังสร้างไม่ต่อเนื่องกัน มันก็ยากที่จะไปเดินปัญญา แยกรูปแยกนาม แยกจิตแยกความคิดแยกอารมณ์ได้ ตามทำความเข้าใจได้ รู้เรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาได้ จะรู้อยู่บ้างเพียงแค่ผิวเผินเล็กๆน้อยๆ แต่ไม่รู้รายละเอียด เราต้องให้รู้รายละเอียด ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งนอนหลับ จะทำอะไรจิตก็รับรู้อยู่ นิ่งรับรู้อยู่ในความปกติ บางทีก็เกิดปีติเกิดสุข ถ้ากำลังสติของเรามีมาก จิตเขาก็จะฉายแววออกมาให้เห็น
ใหม่ๆ ก็ต่อสู้กัน กุศลกับอกุศล สมถะหนุนกำลังสติ สมถะขณะที่จิตเกิดนี่แหละ ดับขณะที่จิตเกิดนี่แหละ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ ตัดความสงสัยความกังวลความลังเลต่างๆ ออกไปให้หมดเสีย ให้เหลือแต่กำลังสติกำลังปัญญาเข้าไปวิเคราะห์ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง รู้ไม่ทันต้นเหตุก็เริ่มใหม่ รู้ไม่ทันก็เริ่มใหม่ เริ่มอยู่บ่อยๆ ถึงจะช้าก็อดทนในการเจริญสติให้ได้เสียก่อน
อานิสงส์บารมีนั้นมีกันเต็มเปี่ยมกันทุกคนอยู่แล้วแหละ แต่กำลังสติสมาธิ การสังเกตการแยกแยะ ตัวเดินปัญญาเข้าสู่วิปัสสนา อย่าไปคิดว่าไปนั่งวิปัสสนาไปเดินวิปัสสนา อันนั้นคิดผิด ไปสร้างความรู้ตัวไปสร้างสติให้ได้เสียก่อน
ถ้าจิตคลายออกจากขันธ์ห้าเมื่อไหร่ ถึงจะเรียกว่า ‘วิปัสสนา’ ถึงจะเรียกว่า ‘สัมมาทิฏฐิ’ ความรู้แจ้งเห็นจริง ตามทำความเข้าใจเห็นสภาวะอนิจจังทุกขังอนัตตาในขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘รอบรู้ในกองสังขาร’ ของตัวเราเอง
กายของเราก็มีอยู่ 5 ขันธ์ที่รวมกันอยู่ เหมือนกับเชือกเส้นเดียวที่รวมกันอยู่ อาศัยกันอยู่ ถ้ามองในปัญญาในทางสมมติก็เป็นเราอยู่ แต่มองในหลักธรรมแล้ว เราต้องพยายามจำแนกแจกแจงออกให้เห็นตามความเป็นจริง นู่นแหละ หมดลมหายใจนั่นแหละ เขาถึงจะแยกจากกันได้จริงๆ แต่เราแยกด้วยสติ แยกด้วยปัญญา แยกด้วยความรู้สึกรับรู้ เห็นตามสภาวะความเป็นจริง ถึงจะเข้าถึงตรงนี้ได้
เราอยู่กับสมมติเราก็ต้องเคารพสมมติ ทำหน้าที่ของสมมติให้ดี หมั่นสร้างอานิสงส์สร้างบารมี ให้มีให้เกิดขึ้นในกายในใจของเราตลอดเวลา หมั่นทำบุญตลอดเวลา ตื่นขึ้นมาเรามีความเกียจคร้านเราก็ละความเกียจคร้าน เราไม่มีความรับผิดชอบเราก็เพิ่มความรับผิดชอบให้สูง เป็นคนมีความเสียสละ มองโลกในทางที่ดี คิดดีทำดี ก่อนที่จะคิดหยุดคิดเสียก่อน อะไรเป็นตัวคิด ตัวสติปัญญาเป็นตัวคิด หรือว่าตัวจิตตัวขันธ์ห้ามาปรุงแต่ง
เราต้องเก็บรายละเอียดต่างๆ ให้ได้ละเอียดมากที่สุด จนจิตยอมรับความเป็นจริง แล่วก็หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราตลอดเวลา อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง เสียดายเวลา อย่าไปปิดกั้นตัวเราเองว่าไม่มีโอกาส ทุกคนมีโอกาสพร้อมมูลกันหมด
ทุกคนมีโอกาสสร้างบุญบารมีกันหมด เราอยู่รวมกัน อีกสักหน่อยเราต้องได้พลัดพรากจากกัน ไม่ได้พลัดพรากจากกันตอนเป็น ก็ต้องได้พลัดพรากจากกันตอนตาย อันนี้เป็นกฎของไตรลักษณ์ ขณะที่เรายังมีลมมีชีวิตอยู่เราก็ต้องพยายามสร้างคุณงามความดี หมั่นสร้างคุณงามความดี สมัครสมานสามัคคีช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
อยู่ร่วมกันมากก็มีความสุข อยู่ร่วมกันน้อยก็มีความสุข ถ้าคนเรารู้จักหน้าที่รู้จักรับผิดชอบ ถ้าคนเราไม่รู้จักหน้าที่รับผิดชอบ อยู่คนเดียวก็ทุกข์อยู่หลายคนก็ทุกข์ ยิ่งเป็นภาระหนักให้หมู่ให้คณะให้เพื่อนให้ฝูง หนักแผ่นดินหนักตัวเราเอง แล้วก็หนักสมมติหนักแผ่นดิน เราต้องพยายามสร้างคุณงามความดี สร้างบุญให้ได้ตลอดเวลา พยายามหมั่นขวนขวายกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอานะ