หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 029
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551 ลำดับที่ 029
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2551
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมเราทุกคน จงสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสลมหายใจเข้าออกของตัวเราเอง ให้ต่อเนื่องกันสักพักสักระยะหนึ่งเสียก่อนนะ วาง ดับความคิด ดับความกังวลต่างๆ เอาไว้ให้หมด ไม่ต้องพนมมือ นั่งทำกายให้สบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย แล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ อย่าไปบังคับลมหายใจ สูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ให้เป็นธรรมชาติ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เราจะมีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา
เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ ลมเข้าลมออกเราก็รู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ เขาเรียกว่า ‘ความรู้สึกทั่วพร้อม’ แล้วก็สัมปชัญญะ ความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง รู้ตัวรู้กาย การรู้ลมก็เป็นการรู้กาย รู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้ลักษณะของจิต ลึกลงไปที่กลางใจ รู้ว่าจิตปกติ
เวลาจิตจะเกิด จะก่อตัว จะส่ง ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทัน จะเห็นเป็น 2 ส่วน ความรู้สึกตัวที่เราสร้างขึ้นมาใหม่นี้เขาเรียกว่า ‘สติ’ ส่วนความปกติของจิตนั้นอยู่ที่กลางใจของเรา นั้นเป็นอีกส่วนหนึ่ง ก็จะเห็นเป็น 2 ส่วนอยู่ เราพยายามทำตรงนี้ให้เกิดความเคยชิน ถ้าจิตจะเกิดก่อตัวปุ๊บ ความรู้ตัวก็รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน แล้วก็รู้จัก แล้วก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ความคิดนั้นก็จะหยุดไป จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ
แล้วก็ส่วนที่สามก็จะก่อตัวขึ้นมาอีก คือความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจ เวลาทำโน้นทำนี่อยู่ บางทีความคิดมันผุดขึ้นมาเฉยๆ เรื่องโน้นเรื่องนี้ นี่แหละ ตรงนี้แหละ เขาเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ เวลาเขาผุดขึ้นมา ตัวความปกติหรือว่าใจของเรานั้นมันจะเคลื่อนเข้าไปรวมปุ๊บทันทีเลย เร็วไวมากจนเป็นตัวเดียวกัน แล้วไปด้วยกันนั่นแหละ เรารู้เมื่อเราคิดแล้ว ไปกลางเรื่อง หรือว่าไปจบเรื่อง หรือเราไม่รู้เลย เรารู้แบบโลกๆ รู้แต่ว่าเราคิด รู้แต่ว่าเราทำ ก็ทำตามความคิด มันหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่
เพียงแค่จุดนี้ เราพยายามมาคลายทำจุดนี้ให้ได้เสียก่อน แล้วก็พยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน ตัวอื่นไม่มีปัญหาเลย บารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนส่งหนุนเกื้อหนุนกันมาหมดแล้ว แต่การเดินปัญญา สังเกตเพียงแค่ตรงนี้ เราต้องอดทนอดกลั้น ฝืนกันสักพักหนึ่ง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรารู้ไม่ทันความคิดเราก็รู้จักดับ เขานิ่งแล้วก็วางๆ มันจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส เพราะว่าจิตของทุกคนชอบคิดชอบส่งไปภายนอก เรามาดับมาฝืนจนกว่าเขาจะคลายได้ จิตจะโล่งจะโปร่ง กายก็จะเบา ตามทำความเข้าใจ เห็นอาการเกิดของขันธ์ห้า เกิดๆ ดับๆ เขาเรียกว่า ‘รู้อนิจจังทุกขังอนัตตา’ ในขันธ์ห้า แล้วก็รู้จักละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด ถึงวาระเวลาจิตใจของเราก็จะโล่งก็จะโปร่ง
ถึงเราละไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้เรารู้จุดละจุดปล่อยจุดวาง แล้วก็ค่อยทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ วันนี้เราละไม่ได้ วันพรุ่งนี้เราก็พยายามละไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตของเราจะสะอาดบริสุทธิ์เหมือนเดิม เพราะว่าจิตเดิมแท้นั้นไม่มีกิเลส เพราะความไม่รู้ อวิชชา ความหลงเท่านั้นแหละมาครอบงำเอาไว้ ทำให้เขาเป็นทาสของกิเลส ทำให้เขามีความทะเยอทะยานอยาก อยากไม่มีที่สิ้นสุด เราดับความอยากฝืนความอยากที่เกิดจากตัวจิตเสีย แล้วก็หนุนกำลังสติ เป็นความต้องการของสติของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน
เพียงแค่กลับกันนิดเดียว แต่มันก็กลับยากจริงๆ นะ เพราะว่าอวิชชาความหลงเข้ามาครอบงำเอาไว้ อำนาจของกิเลสมันมีมาก กำลังฝ่ายไหนจะมาก ฝ่ายกุศลหรือว่าอกุศล ฝ่ายสติปัญญาจะมาก หรือว่าฝ่ายกิเลสมารมันจะมากกว่ากัน เราก็ต้องพยายาม สร้างอานิสงส์สร้างบารมี
แต่ละวันๆ เรามีความเสียสละ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีการกำจัดกิเลสที่เกิดขึ้นจากจิตของเราหรือไม่ เราสำรวจสำรวมกายอินทรีย์ของเราหรือไม่ ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเรา ตาหูจมูกลิ้นกายก็ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง เรามีสติดูรู้จิตของเราเป็นอย่างไรบ้าง
จะลุกจะก้าว จะเดินจะนั่ง กินอยู่ขับถ่าย เรามีสติคอยดูรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเรียกว่า ‘รู้ตัวทั่วพร้อม’ จนเป็นอัตโนมัติ เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวหรือเจริญสติ 5 นาที พวกเราทำได้ต่อเนื่องกันหรือไม่ จาก 5 นาที เป็น 10 เป็น 20 เป็นชั่วโมง เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี จนกว่าคลาย จนกว่าจะแยกรูปแยกนาม
ช่วงใหม่ๆ เราแยกรูปแยกนาม ไม่ได้กำลังสติจะพลั้งเผลอเสียมากกว่า ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้แล้วเราไม่ทำความเข้าใจ จิตของเราก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิม ถ้าเราไม่รู้จักหนุนกำลังสติไปใช้ สติของเรามันก็ไม่มี ก็เหลือตั้งแต่สติแบบโลกๆ เท่านั้นเอง จนแยกรูปแยกนามได้ ตามทำความเข้าใจได้ จนไม่ให้พลั้งเผลอแม้กระเบียดนิ้วเดียวของสติของปัญญาเลยทีเดียว จนเป็นอัตโนมัติถึงจะเรียกว่า ‘มหาปัญญา’ ‘มหาสติมหาปัญญา’ จนเอาไปใช้ จนทำหน้าที่แทนปัญญาเก่าๆ ได้หมด
อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำ พวกท่านก็จะไม่เข้าใจ เพียงแค่เรื่องรับประทานอาหาร เราก็ต้องหัดสังเกตดูให้ได้ทุกเวลา กายหิวหรือว่าจิตเกิดความอยาก กายเกิดทุกขเวทนาจิตของเราเป็นอย่างไร เราต้องพยายามสำรวจสำรวม
แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออก ก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ให้ได้ทุกเวลา จะลุกจะก้าวจะเดิน เราก็ต้องเปลี่ยนความรู้สึก อยู่ที่การเดินบ้าง อยู่ที่ลมหายใจบ้าง หรือว่ารู้ความปกติบ้าง ถ้าสติเราไม่อยู่กับจิตก็ให้อยู่กับกาย ก่อนที่จะคิดเราก็ให้รู้ว่าจิตของเรานิ่ง ต้องพยายามนะ สร้างบุญสร้างกุศลกัน
หลวงพ่อก็ขอขอบคุณทุกคน ที่ได้มีโอกาสได้มาช่วยการช่วยงาน อันนี้ก็เป็นการสร้างบารมี มาทีไรก็ได้มาสร้างอานิสงส์กัน ทางคณะโรงปูนไม่ว่าใกล้ไม่ว่าไกล ญาติโยมชาวบ้านของเรา ชาวบ้านสำราญ ชาวบ้านเพี้ยฟานของเราก็มาช่วยกัน ทั้งในเมืองขอนแก่นก็ได้มาช่วยกัน โอกาสเปิดให้สถานที่เปิดให้ คนมีบุญจะไม่ปล่อยโอกาสทิ้ง ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง หลวงพ่อก็เป็นสะพานบุญให้ทุกคนได้มาสร้างมาทำ ตามความเป็นจริงแล้วทรัพย์สมบัติของหลวงพ่อสร้างไว้หมดแล้ว ทรัพย์ภายใน เดี๋ยวนี้ทรัพย์ภายนอกมาสร้างให้ทุกคนได้อานิสงส์ เป็นเสบียงเดินทางในวันข้างหน้า
ถ้าไม่มีพรหมวิหาร ไม่มีความเมตตาอนุเคราะห์ตรงนี้ก็คงจะไม่ได้ทำตรงนี้ ถึงจะลำบากก็อุตส่าห์ทำเพื่อยังบุญยังกุศลให้กับมหาชนให้มากเท่าที่โอกาสจะเปิดให้ เพื่อที่จะน้อมนำบุญกุศลให้มีให้เกิด สำหรับญาติโยมที่ยังเดินยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ฝากเอาไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานกัน ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกัน
เวลาลมวิ่งเข้ากระทบปลายจมูกเรามีความรู้สึกรับรู้อยู่ นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘ความรู้ตัว’ ลมเข้าลมออกเราก็รู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ เขาเรียกว่า ‘ความรู้สึกทั่วพร้อม’ แล้วก็สัมปชัญญะ ความรู้ตัวที่ต่อเนื่อง รู้ตัวรู้กาย การรู้ลมก็เป็นการรู้กาย รู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้ลักษณะของจิต ลึกลงไปที่กลางใจ รู้ว่าจิตปกติ
เวลาจิตจะเกิด จะก่อตัว จะส่ง ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราก็จะรู้เท่าทัน จะเห็นเป็น 2 ส่วน ความรู้สึกตัวที่เราสร้างขึ้นมาใหม่นี้เขาเรียกว่า ‘สติ’ ส่วนความปกติของจิตนั้นอยู่ที่กลางใจของเรา นั้นเป็นอีกส่วนหนึ่ง ก็จะเห็นเป็น 2 ส่วนอยู่ เราพยายามทำตรงนี้ให้เกิดความเคยชิน ถ้าจิตจะเกิดก่อตัวปุ๊บ ความรู้ตัวก็รู้ตัวอยู่ปัจจุบัน แล้วก็รู้จัก แล้วก็พยายามสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ความคิดนั้นก็จะหยุดไป จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ
แล้วก็ส่วนที่สามก็จะก่อตัวขึ้นมาอีก คือความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจ เวลาทำโน้นทำนี่อยู่ บางทีความคิดมันผุดขึ้นมาเฉยๆ เรื่องโน้นเรื่องนี้ นี่แหละ ตรงนี้แหละ เขาเรียกว่า ‘อาการของขันธ์ห้า’ เวลาเขาผุดขึ้นมา ตัวความปกติหรือว่าใจของเรานั้นมันจะเคลื่อนเข้าไปรวมปุ๊บทันทีเลย เร็วไวมากจนเป็นตัวเดียวกัน แล้วไปด้วยกันนั่นแหละ เรารู้เมื่อเราคิดแล้ว ไปกลางเรื่อง หรือว่าไปจบเรื่อง หรือเราไม่รู้เลย เรารู้แบบโลกๆ รู้แต่ว่าเราคิด รู้แต่ว่าเราทำ ก็ทำตามความคิด มันหลงอยู่ในความคิดตรงนั้นอยู่
เพียงแค่จุดนี้ เราพยายามมาคลายทำจุดนี้ให้ได้เสียก่อน แล้วก็พยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน ตัวอื่นไม่มีปัญหาเลย บารมีส่วนอื่นนั้นทุกคนส่งหนุนเกื้อหนุนกันมาหมดแล้ว แต่การเดินปัญญา สังเกตเพียงแค่ตรงนี้ เราต้องอดทนอดกลั้น ฝืนกันสักพักหนึ่ง
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรารู้ไม่ทันความคิดเราก็รู้จักดับ เขานิ่งแล้วก็วางๆ มันจะเป็นการฝืน เป็นการทวนกระแส เพราะว่าจิตของทุกคนชอบคิดชอบส่งไปภายนอก เรามาดับมาฝืนจนกว่าเขาจะคลายได้ จิตจะโล่งจะโปร่ง กายก็จะเบา ตามทำความเข้าใจ เห็นอาการเกิดของขันธ์ห้า เกิดๆ ดับๆ เขาเรียกว่า ‘รู้อนิจจังทุกขังอนัตตา’ ในขันธ์ห้า แล้วก็รู้จักละกิเลสออกจากใจของเราให้มันหมด ถึงวาระเวลาจิตใจของเราก็จะโล่งก็จะโปร่ง
ถึงเราละไม่ได้เด็ดขาด ก็ขอให้เรารู้จุดละจุดปล่อยจุดวาง แล้วก็ค่อยทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ วันนี้เราละไม่ได้ วันพรุ่งนี้เราก็พยายามละไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตของเราจะสะอาดบริสุทธิ์เหมือนเดิม เพราะว่าจิตเดิมแท้นั้นไม่มีกิเลส เพราะความไม่รู้ อวิชชา ความหลงเท่านั้นแหละมาครอบงำเอาไว้ ทำให้เขาเป็นทาสของกิเลส ทำให้เขามีความทะเยอทะยานอยาก อยากไม่มีที่สิ้นสุด เราดับความอยากฝืนความอยากที่เกิดจากตัวจิตเสีย แล้วก็หนุนกำลังสติ เป็นความต้องการของสติของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทน
เพียงแค่กลับกันนิดเดียว แต่มันก็กลับยากจริงๆ นะ เพราะว่าอวิชชาความหลงเข้ามาครอบงำเอาไว้ อำนาจของกิเลสมันมีมาก กำลังฝ่ายไหนจะมาก ฝ่ายกุศลหรือว่าอกุศล ฝ่ายสติปัญญาจะมาก หรือว่าฝ่ายกิเลสมารมันจะมากกว่ากัน เราก็ต้องพยายาม สร้างอานิสงส์สร้างบารมี
แต่ละวันๆ เรามีความเสียสละ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เรามีการกำจัดกิเลสที่เกิดขึ้นจากจิตของเราหรือไม่ เราสำรวจสำรวมกายอินทรีย์ของเราหรือไม่ ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหกของเรา ตาหูจมูกลิ้นกายก็ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง เรามีสติดูรู้จิตของเราเป็นอย่างไรบ้าง
จะลุกจะก้าว จะเดินจะนั่ง กินอยู่ขับถ่าย เรามีสติคอยดูรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเรียกว่า ‘รู้ตัวทั่วพร้อม’ จนเป็นอัตโนมัติ เพียงแค่การสร้างความรู้ตัวหรือเจริญสติ 5 นาที พวกเราทำได้ต่อเนื่องกันหรือไม่ จาก 5 นาที เป็น 10 เป็น 20 เป็นชั่วโมง เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี จนกว่าคลาย จนกว่าจะแยกรูปแยกนาม
ช่วงใหม่ๆ เราแยกรูปแยกนาม ไม่ได้กำลังสติจะพลั้งเผลอเสียมากกว่า ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้แล้วเราไม่ทำความเข้าใจ จิตของเราก็ซึมเข้าสู่สภาพเดิม ถ้าเราไม่รู้จักหนุนกำลังสติไปใช้ สติของเรามันก็ไม่มี ก็เหลือตั้งแต่สติแบบโลกๆ เท่านั้นเอง จนแยกรูปแยกนามได้ ตามทำความเข้าใจได้ จนไม่ให้พลั้งเผลอแม้กระเบียดนิ้วเดียวของสติของปัญญาเลยทีเดียว จนเป็นอัตโนมัติถึงจะเรียกว่า ‘มหาปัญญา’ ‘มหาสติมหาปัญญา’ จนเอาไปใช้ จนทำหน้าที่แทนปัญญาเก่าๆ ได้หมด
อันนี้ก็เพียงแค่เล่าให้ฟัง ถ้าพวกท่านไม่ไปทำ พวกท่านก็จะไม่เข้าใจ เพียงแค่เรื่องรับประทานอาหาร เราก็ต้องหัดสังเกตดูให้ได้ทุกเวลา กายหิวหรือว่าจิตเกิดความอยาก กายเกิดทุกขเวทนาจิตของเราเป็นอย่างไร เราต้องพยายามสำรวจสำรวม
แม้แต่เรื่องการหายใจเข้าออก ก็พยายามรู้ให้ต่อเนื่อง ให้ได้ทุกเวลา จะลุกจะก้าวจะเดิน เราก็ต้องเปลี่ยนความรู้สึก อยู่ที่การเดินบ้าง อยู่ที่ลมหายใจบ้าง หรือว่ารู้ความปกติบ้าง ถ้าสติเราไม่อยู่กับจิตก็ให้อยู่กับกาย ก่อนที่จะคิดเราก็ให้รู้ว่าจิตของเรานิ่ง ต้องพยายามนะ สร้างบุญสร้างกุศลกัน
หลวงพ่อก็ขอขอบคุณทุกคน ที่ได้มีโอกาสได้มาช่วยการช่วยงาน อันนี้ก็เป็นการสร้างบารมี มาทีไรก็ได้มาสร้างอานิสงส์กัน ทางคณะโรงปูนไม่ว่าใกล้ไม่ว่าไกล ญาติโยมชาวบ้านของเรา ชาวบ้านสำราญ ชาวบ้านเพี้ยฟานของเราก็มาช่วยกัน ทั้งในเมืองขอนแก่นก็ได้มาช่วยกัน โอกาสเปิดให้สถานที่เปิดให้ คนมีบุญจะไม่ปล่อยโอกาสทิ้ง ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง หลวงพ่อก็เป็นสะพานบุญให้ทุกคนได้มาสร้างมาทำ ตามความเป็นจริงแล้วทรัพย์สมบัติของหลวงพ่อสร้างไว้หมดแล้ว ทรัพย์ภายใน เดี๋ยวนี้ทรัพย์ภายนอกมาสร้างให้ทุกคนได้อานิสงส์ เป็นเสบียงเดินทางในวันข้างหน้า
ถ้าไม่มีพรหมวิหาร ไม่มีความเมตตาอนุเคราะห์ตรงนี้ก็คงจะไม่ได้ทำตรงนี้ ถึงจะลำบากก็อุตส่าห์ทำเพื่อยังบุญยังกุศลให้กับมหาชนให้มากเท่าที่โอกาสจะเปิดให้ เพื่อที่จะน้อมนำบุญกุศลให้มีให้เกิด สำหรับญาติโยมที่ยังเดินยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ฝากเอาไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลานกัน ก็ต้องพยายามกันนะ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกัน