หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 40
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 40
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ดูดีๆ นะพระเราชีเราก่อนที่จะขบจะฉัน กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง อย่าไปปล่อยโอกาส ทิ้งอย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง ทุกกาลทุกเวลา จะมีมากมีน้อยก็อย่าให้จิตของเราเกิดความอยาก ต้องรู้จักพิจารณาปฏิสังขาโย จิตเกิดความอยาก เกิดความยินดี เราก็รีบดับ จะเอาอะไรเราก็รู้จักพิจารณากะประมาณในการขบฉันให้พอดีกับร่างกายของตัวเอง มีมากก็ไม่ให้จิตเกิดความอยาก มีน้อยก็ไม่ให้จิตเกิดความอยาก เราเอา เราทาน เราฉันเพื่อที่จะยังร่างกายของเราไม่ให้เกิดทุกขเวทนา ไม่ใช่ว่ามีมากๆ แล้วเอามากๆ ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ มีมากมีน้อยเราก็พิจารณาหมดทุกอย่าง ทุกเรื่องในชีวิตของเราตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ถ้าปล่อยวันเวลาทิ้งแล้วก็เสียดายเวลามากทีเดียว เวลาภายนอกเราก็สร้างให้เกิดประโยชน์ เวลาข้างในเราก็ชำระกิเลสออกจากใจของเราด้วย ไม่ใช่ว่าจะปล่อยเลยตามเลย มาอยู่ด้วยกันหลายองค์ หลายท่าน หลายรูป คนละต่างที่ต่างถิ่น เรามาอยู่ร่วมกัน เคยสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ร่วมกันมาถึงได้มาอยู่ร่วมกัน อยู่ร่วมกันก็ให้มีแต่ความรักความสามัคคี เป็นพี่เป็นน้อง เป็นพ่อเป็นแม่ เคารพกันในธรรม มีอะไรผิดพลาดก็ช่วยเหลือกัน แก้ไขช่วยกัน แก้ไขอะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นบุญเป็นอานิสงส์ ก็ให้เรารีบสร้างรีบทำ ต่อไปในวันข้างหน้าก็จะเป็นแหล่งบุญใหญ่
เรื่องการบำบัดน้ำใช้น้ำเสียน้ำทิ้ง บำบัดเศษอาหารต่างๆ เอาไปทำเป็นแก๊สก็ให้ครบวงจร ไม่ให้สกปรกส่วนมากคนเราจะชอบสะอาด แต่รักสกปรก ทิ้งไปทั่ว เราต้องพยายามช่วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ในวัด หรือว่าอยู่ที่บ้าน หรือตามถนนหนทาง เราเดินไปก็พบเศษขยะ เศษตะปู เศษแก้ว เราก็พยายามเก็บ อย่าไปปล่อยปละละเลย ถึงเราไม่เหยียบ คนอื่นก็อาจจะมาเหยียบ เราพอทำได้เราก็ทำ ความเสียสละ คนเราถ้าไม่มีความเสียสละจากภายนอก ก็ยากที่จะเสียสละไปถึงภายในได้ ก็ต้องมีความเสียสละ ท่านถึงบอก วางพื้นฐานของการให้ทานตั้งแต่แรก การทำบุญ การให้ทาน ทานแล้วก็ศีล ทาน ศีล แล้วก็สมาธิ
ทานคือการให้ ความเสียสละ ไม่ใช่ว่าเฉพาะทำบุญเฉพาะเงินอย่างเดียวถึงจะเป็นการให้ทาน เรามีความเสียสละ รู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักให้อภัย อภัยทานอโหสิกรรม นั่นแหละคือการให้ทาน ให้ทานทางกาย ทางวาจา แล้วก็ให้ทานทางใจควบคู่กันไป เคารพกันในธรรม ไม่อคติ ไม่เพ่งโทษ ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่ถือตัว ก็เป็นการให้ทาน มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไปที่ไหนก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตนนะ จะเป็นบุคคลที่เข้าถึงธรรมได้ง่าย เข้าถึงธรรมได้เร็ว
ไม่ใช่ว่าการประพฤติการปฏิบัติธรรมจะเอาแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักพื้นฐานของการเดินเข้าไปถึง ความเสียสละ ความละอายเกรงกลัวต่อบาป อะไรควรทำอะไร ควรละ อะไรควรเจริญ อะไรเป็นกุศล หรือว่าอกุศล เราก็พยายามมองวิเคราะห์พิจารณาตัวเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด อะไรเป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์อยู่ปัจจุบัน ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า เราเอาโลกนี้ โลกปัจจุบันให้ดีเสียก่อน ก็จะดีก็จะส่งผลถึงอนาคต เราพยายามหมั่นวิเคราะห์พิจารณาตัวเรา เราไม่เข้าใจแนวทาง เราถึงแสวงหาแนวทาง
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้พวกเราได้เดินตาม อริยมรรคมีองค์แปดสัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นจริงอะไร เห็นจิตของเรา รู้จิตของเรา คลายจิตของเราออกจากความหลง ออกจากขันธ์ห้านั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฐิ’ แล้วก็รู้จักละกิเลสจากหยาบไปหาละเอียด คลายความหลง หลงอะไร หลงความคิด หลงอารมณ์ แล้วก็ไปหลงเอาทุกสิ่งทุกอย่าง หลงอัตตาตัวตน แล้วก็คลายออกๆ ทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราตลอดเวลา คลายความหลงแล้วก็มาละกิเลสออกจากใจของเราด้วยการบำเพ็ญตบะ
ความเสียสละ การให้ทาน ให้ทานทั้งภายนอกภายในเป็นพื้นฐาน แล้วก็ทานอารมณ์ทางความคิด ทานความโลภ ทานความโกรธออกจากใจของเรา บุคคลเช่นนี้แหละจะไปได้เร็วได้ไว ไปที่ไหนก็มีตั้งแต่พรหมวิหารความเมตตา มีความเสียสละประโยชน์ตนเพื่อที่จะให้ความสุขกับมวลชนทั้งหลาย พระเราก็เหมือนกัน ยิ่งพระยิ่งชียิ่งสร้างตบะอย่างแรงกล้า อย่าไปเห็นแก่ตัว อย่าไปเห็นแก่กิน แก่หลับ แก่นอน พยายามทำความเพียร เอาตัวอย่างคุณยายชี เห็นไหม ขยันหมั่นเพียร ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นประโยชน์หมดไม่ทิ้ง แม้แต่กล้วยเน่าก็ไม่ทิ้ง เอามากวนทำขนมให้เด็กๆ ทุกคนได้อยู่ได้กิน ทำขนม ได้อาศัยขนม กินขนม ทานขนม ยายเป็นคนทำ
เศษขยะต่างๆ ท่านเก็บมาไว้ไม่ทิ้ง เก็บมาไว้ ไปขวนขวายหามาไว้ แล้วก็มารับซื้อเอา ท่านก็ไปซื้อน้ำปู น้ำปลา น้ำตาลมาทำขนม มาช่วยสร้างบุญนั่น สร้างบุญนี่ ถ้ามองผิวเผินก็เหมือนกับว่าท่านงกท่านโลภ ไม่ใช่ ท่านทำเพื่อยังให้เกิดประโยชน์ ไม่ทิ้งแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ทิ้งจากงานน้อยๆ ไปหางานใหญ่ นั่นแหละควรเอาเป็นตัวอย่าง เป็นเยี่ยงอย่าง ขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน หยุดพักไม่ได้ ป่วย ต้องเดิน ต้องขยันทำนั่นบ้าง ทำนี่บ้างจนติดเป็นนิสัย ขยันไม่เอา ขยันเอาออก คลายออก ขยันทำให้ลูกหลาน ได้อยู่ได้กิน ใครมาก็ได้อยู่ ได้กิน ได้พัก
ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ทำสมมติ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ นั่นแหละอนุภาพแห่งบุญ ใครไปใครมาก็ได้รับความสงบความสุข อย่าไปมองข้าม เราทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา โอกาสเปิดให้ สถานที่เปิดให้ ก็มาช่วยกันมารีบทำ เดี๋ยวทำเสร็จก่อนไม่ได้ทำ ทุกที่ห้องส้วมห้องน้ำก็เหมือนกันก็ช่วยกันดูแล กว่าจะได้มาใช้แต่ละชิ้น แต่ละอัน ก็น้ำพักน้ำแรงของญาติโยมช่วยกันบริจาคมา คนละเล็กละน้อยมาหล่อหลอมรวมกันเป็นจุดใหญ่ให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข
พระเราก็ช่วยกันดูแล อย่าไปเห็นแก่ความเกียจคร้าน เป็นหน้าที่ของทุกคน หน้าที่ชำระกิเลส หน้าที่รับผิดชอบ ไม่ใช่ว่าไม่ใช่ของเราแล้วไม่ทำ ถ้าคิดอย่างนั้นไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความลำบาก คนอื่นคิดอย่างเรา ก็ไปเจอแต่คนคิดอย่างเดียวกัน ไปไหนก็เลยไม่เจริญ เราต้องเต็มรอบทั้งภายในล้นออกไปภายนอก ทำอะไรอย่าให้จิตเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว พากันช่วยกันทำ ไม่ไกล ไม่นาน งานหนักก็เป็นงานเบา งานเบาก็ลุล่วงลงไป ก็มีแต่ความอิ่ม ความปีติ ความสุข ความเบิกบาน บุญก็เกิดขึ้นกับพวกเราตลอดเวลา กายเป็นบุญ ใจเป็นบุญ การกระทำเป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความอิ่ม ความสุข ช่วยกัน
ต่อไปในวันข้างหน้าก็จะเป็นแหล่งบุญใหญ่ ใครเข้ามาก็มีแต่ความร่มรื่น รุ่นลูกรุ่นหลานก็ได้มาสร้างมาสานต่อ ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของคนใดคนหนึ่งหรอก เป็นสมบัติของแผ่นดิน เป็นสมบัติของทุกคน เรายังให้เกิดประโยชน์เอาไว้ให้กับโลก ไว้ให้กับสมมติ ภพภูมิต่างๆ วิญญาณต่างๆ มีหมด ถ้าเราไม่ศึกษาค้นคว้าลงให้ดี เราก็จะไม่เข้าใจแนวทางของการเดิน ไม่ใช่ว่าไปที่นั่นจะเข้าใจ ไปที่นี่จะเข้าใจ ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มันก็ยาก เราก็ต้องทำความเข้าใจ ขยันหมั่นเพียรทุกอิริยาบถ ทำในใจของตัวเราตลอดเวลา
หมั่นวิเคราะห์ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ใจทำหน้าที่อย่างไรเราก็ต้องวิเคราะห์ อย่าไปเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ความลำบาก คนเรากว่าจะได้รับความสงบความสุขได้ ก็ต้องผ่านทุกข์ ผ่านความลำบากมาก่อน ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านกาลผ่านเวลา ทุกคนก็มีทุกข์กันหมด กายของเรานี่แหละก้อนทุกข์ เราก็ต้องพยายามทำให้แจ้ง ให้จิตรับรู้ตามความเป็นจริง อะไรคือมายา มายาไม่มีตัว ไม่มีตน อาการของมายา ภาษาธรรมเรียกว่า ‘มายา’ อาการของความคิดนั่นแหละ เป็นเพียงแค่อาการ เป็นแค่เพียงมายา แต่เขาก็มายึดมาติด เราพยายามสร้างอานิสงส์ให้มากๆ ชำระสะสางกิเลสภายใน แล้วก็สร้างอานิสงส์ภายนอกให้เต็มเปี่ยม
วัดเราก็นับวันที่จะญาติโยมเข้ามาเยอะ พระคุณเจ้า สามเณร ชีก็เยอะ ญาติโยมก็เยอะ ต่างฝ่ายก็ต่างก็ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็นก็หนัก หนักทั้งตัวเรา หนักทั้งคนอื่น หนักทั้งสถานที่ ก็ต้องพิจารณาตัวเองตลอดเวลา อะไรควรทำ อะไรควรเจริญ อะไรคนละ นี่แหละถึงจะเป็นลูกพระพุทธเจ้า เป็นลูกพุทธะ พุทธะผู้รู้ รู้จิต รู้กาย รู้จิต รู้สมมติ รอบรู้ในวิมุตติ รอบรู้ในสมมติ รอบรู้ในโลกธรรม ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสงบความสุข ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวให้แต่คนนั้นเขาสอน คนนี้เขาสอน เราต้องสอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง
กิเลสเกิดขึ้นที่เรา เราก็ต้องละ ละที่ใจ ละที่กายของเรานี่แหละ ไม่ได้ละที่ไหนหรอก กายที่ไหน ใจที่ไหน ก็ปฏิบัติมันที่นั่นแหละ สมมติภายนอกก็ยังประโยชน์อำนวยความสะดวกให้ อยากจะให้ทุกคนอยู่ดีมีความสุข ถึงได้จัดทำจัดสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เพื่ออนุเคราะห์ให้สมมติ ให้สังคมให้อยู่ดีมีความสุข การทำความเพียรก็จะไปเร็วได้ไว พวกท่านก็อย่าพากันมัวเมาประมาท พากันขยันหมั่นเพียร เพียงแค่เรื่องของการหายใจเข้าออก พวกเราก็พยายามทำให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่เกิดมาเราก็หายใจแล้ว แต่ขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ให้ต่อเนื่อง จะเอาแต่ธรรม มันก็เลยมองข้าม ทั้งที่จิตใจของเราก็เป็นบุญอยู่
ทำอย่างไรจิตของเราถึงจะสงบ ทำอย่างไรจิตของเราถึงจะคลาย มีอุบายมีวิธีที่จะเข้าไปถึงอยู่ แต่เราไม่ทำให้ต่อเนื่องกัน เพราะว่าวิบากกรรมยังปิดกั้นเอาไว้อยู่ อันนี้บังคับกันไม่ได้ ถ้าวิบากกรรมมันคลายเมื่อไหร่ เราย่อมจะเข้าถึง ถ้าวิบากกรรมยังไม่คลาย จะปฏิบัติอย่างไรก็ยากที่จะคลาย ถ้าถึงวาระถึงเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างมีความพร้อม ทั้งสมมติ ทั้งความเป็นอยู่ สมมติก็ส่งผลถึงด้านวิมุตติ ก็ไปได้เร็วได้ไว
คนมีความพร้อมก็สนุกสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ คนที่ไม่มีความพร้อมก็เพราะว่าไม่เคยสร้างมาไว้ก่อน ครั้งก่อน ภพก่อน หรือว่าอดีต ที่ผ่านมาก็อาจจะสร้างไว้น้อยก็เลยลำบาก คนไหนที่มีความสะดวกสบายก็เคยสร้างเอาไว้มาก ก็มีโอกาสได้ทำไว้มาก มีโอกาสก็รีบทำ คนจนไม่อยากจะให้ทาน เพราะกลัวจะหมด คนรวยนี้ชอบให้ทาน เพราะกลัวจะจน คนจนนี่ไม่ชอบให้ กลัวจะหมด คนรวยนี้ชอบให้ กลัวจะจน ยิ่งให้เท่าไหร่ยิ่งรวย ยิ่งให้เท่าไหร่ ยิ่งเอาออกเท่าไหร่ ก็ยิ่งเยอะ จะมาโดยที่เราไม่ได้คาดฝัน ทุกสิ่งทุกอย่าง
ทำไปเถิดการทำบุญให้ทาน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ดี ทำบุญกับตัวเรา ทำบุญกับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ไปประพฤติวัตรปฏิบัติกับครูบาอาจารย์สถานที่ต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ดี ถึงเรายังเดินปัญญาไม่ได้ก็เป็นการสร้างตบะ สร้างบารมี เรายังไม่เข้าใจปัญญาขั้นสูง เราก็ไปสร้างตบะบารมีที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง จนกว่าวิบากกรรมของเราคลาย เราก็จะเดินปัญญาขั้นสูงได้ แยกรูปแยกนาม ชำระสะสางกิเลส ดับความเกิดได้
โชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ให้รีบทำรีบสร้างเอา หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ หลวงพ่อก็ทำของหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา ทำมาตลอดนั่นแหละ ทำมาตลอดตั้งแต่เป็นเด็กนั่นแหละ ให้ทาน ติดนิสัยให้ทาน มาทานจนจิตว่างนั่นแหละ ว่างตั้งแต่เป็นเด็ก ทานไม่เอาอะไร หลวงปู่หลวงตาก็ช่วยกันดูแล มีอะไรก็ช่วยกัน ได้ผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่มาอยู่ด้วย เหมือนกับได้พ่อได้แม่มาอยู่ด้วย มาคอยดูแลช่วยกัน มีอะไรขาดตกบกพร่องก็บอกลูกบอกหลาน เคารพกันในธรรมเหมือนพ่อเหมือนแม่ เหมือนพี่เหมือนน้อง ไม่ใช่ว่าคอยดุ คอยด่า คอยอคติ คอยเพ่งโทษกันแบบนั้นไม่ดี เราก็ต้องละ อะไรอะไรที่เป็นกุศลเราก็เจริญ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ต่อเนื่องกัน นั่งอดทนอีกสักพักหนึ่งนะ นั่งอดทนอีกสักพักหนึ่ง กายของเรามันเป็นก้อนทุกข์ นั่งนานๆ ก็เกิดทุกขเวทนา เราพยายามฝืนร่างกายของเราให้ผ่านทุกขเวทนาเล็กๆ น้อยๆ ไปได้สักพักหนึ่งก็ยังดี ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็จะชัดเจน ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ชัดเจนเวลาลมหายใจเข้าหายใจออก อันนี้เขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเรารู้เวลาเข้าเวลาออกให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
เราพยายามทำความเข้าใจตรงนี้ให้ชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง ส่วนมากเราจะไปนึกเอาไปคิดเอาว่าเป็นสติ เป็นปัญญา อันนั้นเป็นสติ เป็นปัญญาระดับของโลกียะ สติปัญญาที่จะเข้าไปรู้เท่าทันจิตนั้นไม่มี เราต้องสร้างความรู้สึกตัวเวลาลมเข้าลมออก เขาเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ‘ปัจจุบันธรรม’ ตรงนี้แหละเราต้องพยายามฝึก ส่วนมากจะพลั้งเผลอทั้งที่ใจของเราก็เป็นบุญอยู่ บางทีก็เอาใจของเรา จิตของเรา ไปกำหนดอยู่กับลมหายใจ อันนั้นยังไม่ใช่ เราพยายามสร้างความรู้สึกตัว ถ้าเราสติเอาสมองส่วนบนไปเพ่ง สมองก็ตึง เราเอาจิตส่วนกลางไปจดจ่ออยู่ปลายจมูก หน้าอกก็จะแน่น
เพียงแค่เรามีความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ จิตของเราจะคิดไปที่อื่น เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกเข้าไปยาวๆ จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ ส่วนมากก็มีแต่จะปล่อยให้จิตเลยไปตามเลย เพราะความคิดเก่าๆ ความเคยชินเก่าๆ อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ยากที่จะเข้าไปถึงรากฐานของจิตจริงๆ จิตของเราเกิดอย่างไร ขันธ์ห้าเกิดอย่างไร
ถ้าพวกท่านทำอย่างที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังนี่แหละ ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ทำ ย่อมจะเข้าใจ ย่อมจะเห็นการเกิดการดับ รู้ฐานของจิต สิ่งต่างๆก็จะตามมา รู้เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เข้าใจในอัตตา เข้าใจอนัตตา เข้าใจในหลักของอริยสัจ เข้าใจในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง ขอให้ดำเนินดังที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังนี่แหละ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาๆ แล้วก็รู้สร้างความรู้ตัว ถ้าใครรู้จิตก็พยายามรู้ฐานของจิตเลยก็ได้ จิตจะก่อตัวเราก็ดับ จิตจะเกิดกิเลสเราก็ละ เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน ความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่ตั้งใจคิด เขาก่อตัวอย่างไร จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรารู้ทันปุ๊บ เขาจะดีดตัวออกจากความคิดตรงนั้นได้เอง เราไม่ต้องไปจับเขาแยก ยาก เขาจะดีดตัวออกแล้วเขาก็จะหงาย จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัว หรือว่าสติก็จะตามดูเห็นสภาวะธรรม การเกิดการดับ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าทันที สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้ หลวงพ่อก็เล่าของเก่าอยู่ทุกวันนี้แหละ ทุกท่านจงพากันไปทำเถิด
ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ อันนี้เพียงแค่ย้ำแค่เตือนเท่านั้นเอง
อย่าไปปล่อยวันเวลาทิ้ง ถ้าปล่อยวันเวลาทิ้งแล้วก็เสียดายเวลามากทีเดียว เวลาภายนอกเราก็สร้างให้เกิดประโยชน์ เวลาข้างในเราก็ชำระกิเลสออกจากใจของเราด้วย ไม่ใช่ว่าจะปล่อยเลยตามเลย มาอยู่ด้วยกันหลายองค์ หลายท่าน หลายรูป คนละต่างที่ต่างถิ่น เรามาอยู่ร่วมกัน เคยสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ร่วมกันมาถึงได้มาอยู่ร่วมกัน อยู่ร่วมกันก็ให้มีแต่ความรักความสามัคคี เป็นพี่เป็นน้อง เป็นพ่อเป็นแม่ เคารพกันในธรรม มีอะไรผิดพลาดก็ช่วยเหลือกัน แก้ไขช่วยกัน แก้ไขอะไรที่จะเป็นประโยชน์ อะไรที่จะเป็นบุญเป็นอานิสงส์ ก็ให้เรารีบสร้างรีบทำ ต่อไปในวันข้างหน้าก็จะเป็นแหล่งบุญใหญ่
เรื่องการบำบัดน้ำใช้น้ำเสียน้ำทิ้ง บำบัดเศษอาหารต่างๆ เอาไปทำเป็นแก๊สก็ให้ครบวงจร ไม่ให้สกปรกส่วนมากคนเราจะชอบสะอาด แต่รักสกปรก ทิ้งไปทั่ว เราต้องพยายามช่วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ในวัด หรือว่าอยู่ที่บ้าน หรือตามถนนหนทาง เราเดินไปก็พบเศษขยะ เศษตะปู เศษแก้ว เราก็พยายามเก็บ อย่าไปปล่อยปละละเลย ถึงเราไม่เหยียบ คนอื่นก็อาจจะมาเหยียบ เราพอทำได้เราก็ทำ ความเสียสละ คนเราถ้าไม่มีความเสียสละจากภายนอก ก็ยากที่จะเสียสละไปถึงภายในได้ ก็ต้องมีความเสียสละ ท่านถึงบอก วางพื้นฐานของการให้ทานตั้งแต่แรก การทำบุญ การให้ทาน ทานแล้วก็ศีล ทาน ศีล แล้วก็สมาธิ
ทานคือการให้ ความเสียสละ ไม่ใช่ว่าเฉพาะทำบุญเฉพาะเงินอย่างเดียวถึงจะเป็นการให้ทาน เรามีความเสียสละ รู้จักอดทนอดกลั้น รู้จักให้อภัย อภัยทานอโหสิกรรม นั่นแหละคือการให้ทาน ให้ทานทางกาย ทางวาจา แล้วก็ให้ทานทางใจควบคู่กันไป เคารพกันในธรรม ไม่อคติ ไม่เพ่งโทษ ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่ถือตัว ก็เป็นการให้ทาน มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไปที่ไหนก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตนนะ จะเป็นบุคคลที่เข้าถึงธรรมได้ง่าย เข้าถึงธรรมได้เร็ว
ไม่ใช่ว่าการประพฤติการปฏิบัติธรรมจะเอาแต่ธรรม แต่ไม่รู้จักพื้นฐานของการเดินเข้าไปถึง ความเสียสละ ความละอายเกรงกลัวต่อบาป อะไรควรทำอะไร ควรละ อะไรควรเจริญ อะไรเป็นกุศล หรือว่าอกุศล เราก็พยายามมองวิเคราะห์พิจารณาตัวเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะคิด อะไรเป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์ ประโยชน์ใกล้ประโยชน์ไกล ประโยชน์อยู่ปัจจุบัน ประโยชน์ในโลกนี้ประโยชน์ในโลกหน้า เราเอาโลกนี้ โลกปัจจุบันให้ดีเสียก่อน ก็จะดีก็จะส่งผลถึงอนาคต เราพยายามหมั่นวิเคราะห์พิจารณาตัวเรา เราไม่เข้าใจแนวทาง เราถึงแสวงหาแนวทาง
แนวทางนั้นพระพุทธองค์ท่านได้ค้นพบแล้วก็เอามาเปิดเผยให้พวกเราได้เดินตาม อริยมรรคมีองค์แปดสัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริง เห็นจริงอะไร เห็นจิตของเรา รู้จิตของเรา คลายจิตของเราออกจากความหลง ออกจากขันธ์ห้านั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สัมมาทิฐิ’ แล้วก็รู้จักละกิเลสจากหยาบไปหาละเอียด คลายความหลง หลงอะไร หลงความคิด หลงอารมณ์ แล้วก็ไปหลงเอาทุกสิ่งทุกอย่าง หลงอัตตาตัวตน แล้วก็คลายออกๆ ทำความเข้าใจ หมั่นพร่ำสอนจิตของตัวเราตลอดเวลา คลายความหลงแล้วก็มาละกิเลสออกจากใจของเราด้วยการบำเพ็ญตบะ
ความเสียสละ การให้ทาน ให้ทานทั้งภายนอกภายในเป็นพื้นฐาน แล้วก็ทานอารมณ์ทางความคิด ทานความโลภ ทานความโกรธออกจากใจของเรา บุคคลเช่นนี้แหละจะไปได้เร็วได้ไว ไปที่ไหนก็มีตั้งแต่พรหมวิหารความเมตตา มีความเสียสละประโยชน์ตนเพื่อที่จะให้ความสุขกับมวลชนทั้งหลาย พระเราก็เหมือนกัน ยิ่งพระยิ่งชียิ่งสร้างตบะอย่างแรงกล้า อย่าไปเห็นแก่ตัว อย่าไปเห็นแก่กิน แก่หลับ แก่นอน พยายามทำความเพียร เอาตัวอย่างคุณยายชี เห็นไหม ขยันหมั่นเพียร ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นประโยชน์หมดไม่ทิ้ง แม้แต่กล้วยเน่าก็ไม่ทิ้ง เอามากวนทำขนมให้เด็กๆ ทุกคนได้อยู่ได้กิน ทำขนม ได้อาศัยขนม กินขนม ทานขนม ยายเป็นคนทำ
เศษขยะต่างๆ ท่านเก็บมาไว้ไม่ทิ้ง เก็บมาไว้ ไปขวนขวายหามาไว้ แล้วก็มารับซื้อเอา ท่านก็ไปซื้อน้ำปู น้ำปลา น้ำตาลมาทำขนม มาช่วยสร้างบุญนั่น สร้างบุญนี่ ถ้ามองผิวเผินก็เหมือนกับว่าท่านงกท่านโลภ ไม่ใช่ ท่านทำเพื่อยังให้เกิดประโยชน์ ไม่ทิ้งแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ทิ้งจากงานน้อยๆ ไปหางานใหญ่ นั่นแหละควรเอาเป็นตัวอย่าง เป็นเยี่ยงอย่าง ขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน หยุดพักไม่ได้ ป่วย ต้องเดิน ต้องขยันทำนั่นบ้าง ทำนี่บ้างจนติดเป็นนิสัย ขยันไม่เอา ขยันเอาออก คลายออก ขยันทำให้ลูกหลาน ได้อยู่ได้กิน ใครมาก็ได้อยู่ ได้กิน ได้พัก
ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ทำสมมติ ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ นั่นแหละอนุภาพแห่งบุญ ใครไปใครมาก็ได้รับความสงบความสุข อย่าไปมองข้าม เราทำมากทำน้อยก็เป็นของเรา โอกาสเปิดให้ สถานที่เปิดให้ ก็มาช่วยกันมารีบทำ เดี๋ยวทำเสร็จก่อนไม่ได้ทำ ทุกที่ห้องส้วมห้องน้ำก็เหมือนกันก็ช่วยกันดูแล กว่าจะได้มาใช้แต่ละชิ้น แต่ละอัน ก็น้ำพักน้ำแรงของญาติโยมช่วยกันบริจาคมา คนละเล็กละน้อยมาหล่อหลอมรวมกันเป็นจุดใหญ่ให้ทุกคนได้อยู่ดีมีความสุข
พระเราก็ช่วยกันดูแล อย่าไปเห็นแก่ความเกียจคร้าน เป็นหน้าที่ของทุกคน หน้าที่ชำระกิเลส หน้าที่รับผิดชอบ ไม่ใช่ว่าไม่ใช่ของเราแล้วไม่ทำ ถ้าคิดอย่างนั้นไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความลำบาก คนอื่นคิดอย่างเรา ก็ไปเจอแต่คนคิดอย่างเดียวกัน ไปไหนก็เลยไม่เจริญ เราต้องเต็มรอบทั้งภายในล้นออกไปภายนอก ทำอะไรอย่าให้จิตเกิดความอยากแม้แต่นิดเดียว พากันช่วยกันทำ ไม่ไกล ไม่นาน งานหนักก็เป็นงานเบา งานเบาก็ลุล่วงลงไป ก็มีแต่ความอิ่ม ความปีติ ความสุข ความเบิกบาน บุญก็เกิดขึ้นกับพวกเราตลอดเวลา กายเป็นบุญ ใจเป็นบุญ การกระทำเป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญ อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความอิ่ม ความสุข ช่วยกัน
ต่อไปในวันข้างหน้าก็จะเป็นแหล่งบุญใหญ่ ใครเข้ามาก็มีแต่ความร่มรื่น รุ่นลูกรุ่นหลานก็ได้มาสร้างมาสานต่อ ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของคนใดคนหนึ่งหรอก เป็นสมบัติของแผ่นดิน เป็นสมบัติของทุกคน เรายังให้เกิดประโยชน์เอาไว้ให้กับโลก ไว้ให้กับสมมติ ภพภูมิต่างๆ วิญญาณต่างๆ มีหมด ถ้าเราไม่ศึกษาค้นคว้าลงให้ดี เราก็จะไม่เข้าใจแนวทางของการเดิน ไม่ใช่ว่าไปที่นั่นจะเข้าใจ ไปที่นี่จะเข้าใจ ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มันก็ยาก เราก็ต้องทำความเข้าใจ ขยันหมั่นเพียรทุกอิริยาบถ ทำในใจของตัวเราตลอดเวลา
หมั่นวิเคราะห์ กายของเราทำหน้าที่อย่างไร ทวารทั้งหกทำหน้าที่อย่างไร ใจทำหน้าที่อย่างไรเราก็ต้องวิเคราะห์ อย่าไปเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ความลำบาก คนเรากว่าจะได้รับความสงบความสุขได้ ก็ต้องผ่านทุกข์ ผ่านความลำบากมาก่อน ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านกาลผ่านเวลา ทุกคนก็มีทุกข์กันหมด กายของเรานี่แหละก้อนทุกข์ เราก็ต้องพยายามทำให้แจ้ง ให้จิตรับรู้ตามความเป็นจริง อะไรคือมายา มายาไม่มีตัว ไม่มีตน อาการของมายา ภาษาธรรมเรียกว่า ‘มายา’ อาการของความคิดนั่นแหละ เป็นเพียงแค่อาการ เป็นแค่เพียงมายา แต่เขาก็มายึดมาติด เราพยายามสร้างอานิสงส์ให้มากๆ ชำระสะสางกิเลสภายใน แล้วก็สร้างอานิสงส์ภายนอกให้เต็มเปี่ยม
วัดเราก็นับวันที่จะญาติโยมเข้ามาเยอะ พระคุณเจ้า สามเณร ชีก็เยอะ ญาติโยมก็เยอะ ต่างฝ่ายก็ต่างก็ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็นก็หนัก หนักทั้งตัวเรา หนักทั้งคนอื่น หนักทั้งสถานที่ ก็ต้องพิจารณาตัวเองตลอดเวลา อะไรควรทำ อะไรควรเจริญ อะไรคนละ นี่แหละถึงจะเป็นลูกพระพุทธเจ้า เป็นลูกพุทธะ พุทธะผู้รู้ รู้จิต รู้กาย รู้จิต รู้สมมติ รอบรู้ในวิมุตติ รอบรู้ในสมมติ รอบรู้ในโลกธรรม ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสงบความสุข ไม่ใช่ว่าจะไปเที่ยวให้แต่คนนั้นเขาสอน คนนี้เขาสอน เราต้องสอนตัวเอง แก้ไขตัวเอง
กิเลสเกิดขึ้นที่เรา เราก็ต้องละ ละที่ใจ ละที่กายของเรานี่แหละ ไม่ได้ละที่ไหนหรอก กายที่ไหน ใจที่ไหน ก็ปฏิบัติมันที่นั่นแหละ สมมติภายนอกก็ยังประโยชน์อำนวยความสะดวกให้ อยากจะให้ทุกคนอยู่ดีมีความสุข ถึงได้จัดทำจัดสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เพื่ออนุเคราะห์ให้สมมติ ให้สังคมให้อยู่ดีมีความสุข การทำความเพียรก็จะไปเร็วได้ไว พวกท่านก็อย่าพากันมัวเมาประมาท พากันขยันหมั่นเพียร เพียงแค่เรื่องของการหายใจเข้าออก พวกเราก็พยายามทำให้เกิดความเคยชิน ตั้งแต่เกิดมาเราก็หายใจแล้ว แต่ขาดการสังเกต ขาดการวิเคราะห์ให้ต่อเนื่อง จะเอาแต่ธรรม มันก็เลยมองข้าม ทั้งที่จิตใจของเราก็เป็นบุญอยู่
ทำอย่างไรจิตของเราถึงจะสงบ ทำอย่างไรจิตของเราถึงจะคลาย มีอุบายมีวิธีที่จะเข้าไปถึงอยู่ แต่เราไม่ทำให้ต่อเนื่องกัน เพราะว่าวิบากกรรมยังปิดกั้นเอาไว้อยู่ อันนี้บังคับกันไม่ได้ ถ้าวิบากกรรมมันคลายเมื่อไหร่ เราย่อมจะเข้าถึง ถ้าวิบากกรรมยังไม่คลาย จะปฏิบัติอย่างไรก็ยากที่จะคลาย ถ้าถึงวาระถึงเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างมีความพร้อม ทั้งสมมติ ทั้งความเป็นอยู่ สมมติก็ส่งผลถึงด้านวิมุตติ ก็ไปได้เร็วได้ไว
คนมีความพร้อมก็สนุกสร้างบุญ สร้างอานิสงส์ คนที่ไม่มีความพร้อมก็เพราะว่าไม่เคยสร้างมาไว้ก่อน ครั้งก่อน ภพก่อน หรือว่าอดีต ที่ผ่านมาก็อาจจะสร้างไว้น้อยก็เลยลำบาก คนไหนที่มีความสะดวกสบายก็เคยสร้างเอาไว้มาก ก็มีโอกาสได้ทำไว้มาก มีโอกาสก็รีบทำ คนจนไม่อยากจะให้ทาน เพราะกลัวจะหมด คนรวยนี้ชอบให้ทาน เพราะกลัวจะจน คนจนนี่ไม่ชอบให้ กลัวจะหมด คนรวยนี้ชอบให้ กลัวจะจน ยิ่งให้เท่าไหร่ยิ่งรวย ยิ่งให้เท่าไหร่ ยิ่งเอาออกเท่าไหร่ ก็ยิ่งเยอะ จะมาโดยที่เราไม่ได้คาดฝัน ทุกสิ่งทุกอย่าง
ทำไปเถิดการทำบุญให้ทาน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ดี ทำบุญกับตัวเรา ทำบุญกับพ่อกับแม่ กับพี่กับน้อง กับเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ไปประพฤติวัตรปฏิบัติกับครูบาอาจารย์สถานที่ต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ดี ถึงเรายังเดินปัญญาไม่ได้ก็เป็นการสร้างตบะ สร้างบารมี เรายังไม่เข้าใจปัญญาขั้นสูง เราก็ไปสร้างตบะบารมีที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง จนกว่าวิบากกรรมของเราคลาย เราก็จะเดินปัญญาขั้นสูงได้ แยกรูปแยกนาม ชำระสะสางกิเลส ดับความเกิดได้
โชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ให้รีบทำรีบสร้างเอา หลวงพ่อก็เพียงแค่เล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ หลวงพ่อก็ทำของหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา ทำมาตลอดนั่นแหละ ทำมาตลอดตั้งแต่เป็นเด็กนั่นแหละ ให้ทาน ติดนิสัยให้ทาน มาทานจนจิตว่างนั่นแหละ ว่างตั้งแต่เป็นเด็ก ทานไม่เอาอะไร หลวงปู่หลวงตาก็ช่วยกันดูแล มีอะไรก็ช่วยกัน ได้ผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่มาอยู่ด้วย เหมือนกับได้พ่อได้แม่มาอยู่ด้วย มาคอยดูแลช่วยกัน มีอะไรขาดตกบกพร่องก็บอกลูกบอกหลาน เคารพกันในธรรมเหมือนพ่อเหมือนแม่ เหมือนพี่เหมือนน้อง ไม่ใช่ว่าคอยดุ คอยด่า คอยอคติ คอยเพ่งโทษกันแบบนั้นไม่ดี เราก็ต้องละ อะไรอะไรที่เป็นกุศลเราก็เจริญ
ตั้งใจรับพรกัน
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราให้ต่อเนื่องกัน นั่งอดทนอีกสักพักหนึ่งนะ นั่งอดทนอีกสักพักหนึ่ง กายของเรามันเป็นก้อนทุกข์ นั่งนานๆ ก็เกิดทุกขเวทนา เราพยายามฝืนร่างกายของเราให้ผ่านทุกขเวทนาเล็กๆ น้อยๆ ไปได้สักพักหนึ่งก็ยังดี ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกก็จะชัดเจน ให้เราพยายามสร้างความรู้สึกรับรู้ให้ชัดเจนเวลาลมหายใจเข้าหายใจออก อันนี้เขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเรารู้เวลาเข้าเวลาออกให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
เราพยายามทำความเข้าใจตรงนี้ให้ชัดเจน เราพยายามสร้างความรู้สึกให้ต่อเนื่อง ส่วนมากเราจะไปนึกเอาไปคิดเอาว่าเป็นสติ เป็นปัญญา อันนั้นเป็นสติ เป็นปัญญาระดับของโลกียะ สติปัญญาที่จะเข้าไปรู้เท่าทันจิตนั้นไม่มี เราต้องสร้างความรู้สึกตัวเวลาลมเข้าลมออก เขาเรียกว่า ‘ปัจจุบัน’ ‘ปัจจุบันธรรม’ ตรงนี้แหละเราต้องพยายามฝึก ส่วนมากจะพลั้งเผลอทั้งที่ใจของเราก็เป็นบุญอยู่ บางทีก็เอาใจของเรา จิตของเรา ไปกำหนดอยู่กับลมหายใจ อันนั้นยังไม่ใช่ เราพยายามสร้างความรู้สึกตัว ถ้าเราสติเอาสมองส่วนบนไปเพ่ง สมองก็ตึง เราเอาจิตส่วนกลางไปจดจ่ออยู่ปลายจมูก หน้าอกก็จะแน่น
เพียงแค่เรามีความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง ถ้าพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ๆ จิตของเราจะคิดไปที่อื่น เราก็พยายามกระตุ้นความรู้สึกเข้าไปยาวๆ จิตก็จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ ส่วนมากก็มีแต่จะปล่อยให้จิตเลยไปตามเลย เพราะความคิดเก่าๆ ความเคยชินเก่าๆ อาจจะถูกอยู่ในระดับของสมมติ แต่ยากที่จะเข้าไปถึงรากฐานของจิตจริงๆ จิตของเราเกิดอย่างไร ขันธ์ห้าเกิดอย่างไร
ถ้าพวกท่านทำอย่างที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังนี่แหละ ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ทำ ย่อมจะเข้าใจ ย่อมจะเห็นการเกิดการดับ รู้ฐานของจิต สิ่งต่างๆก็จะตามมา รู้เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า เข้าใจในอัตตา เข้าใจอนัตตา เข้าใจในหลักของอริยสัจ เข้าใจในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขารของตัวเราเอง ขอให้ดำเนินดังที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังนี่แหละ
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาๆ แล้วก็รู้สร้างความรู้ตัว ถ้าใครรู้จิตก็พยายามรู้ฐานของจิตเลยก็ได้ จิตจะก่อตัวเราก็ดับ จิตจะเกิดกิเลสเราก็ละ เจริญพรหมวิหารเข้าไปทดแทน ความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่ตั้งใจคิด เขาก่อตัวอย่างไร จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวม ถ้าเรารู้ทันปุ๊บ เขาจะดีดตัวออกจากความคิดตรงนั้นได้เอง เราไม่ต้องไปจับเขาแยก ยาก เขาจะดีดตัวออกแล้วเขาก็จะหงาย จิตก็จะว่าง กายก็จะเบา ความรู้ตัว หรือว่าสติก็จะตามดูเห็นสภาวะธรรม การเกิดการดับ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในขันธ์ห้าทันที สัมมาทิฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้ หลวงพ่อก็เล่าของเก่าอยู่ทุกวันนี้แหละ ทุกท่านจงพากันไปทำเถิด
ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกันนะ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปสร้างสานต่อเอานะ อันนี้เพียงแค่ย้ำแค่เตือนเท่านั้นเอง