หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 39
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 39
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
สงกรานต์ อากาศก็ร้อน ฝนฟ้าก็ตกให้เย็นลงไปหน่อยหนึ่ง เห็นว่าการบ้านการเมืองก็สงบลงไปแล้วแหละ ต่อไปข้างหน้าก็คงจะร่มรื่นร่มเย็นกัน ญาติโยมผู้ใจบุญสุนทานก็อดไม่ได้ ก็ต้องมา มาช่วยกัน นั่นแหละเขาเรียกว่าขวนขวายในสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล แล้วก็ทำให้มีให้เกิดขึ้น ก็จะเป็นการสร้างอานิสงส์ สร้างบารมีให้ตัวเอง ถ้าคนเราไม่เคยทำ ไม่ขวนขวายก็ยิ่งห่างไกล ห่างไกลคุณพระพุทธ ห่างไกลคุณพระธรรม ห่างไกลพระสงฆ์ ห่างไกลกุศล ถ้าเราหมั่นทำอยู่ทุกวันทุกเวลา
การเจริญสติก็เหมือนกัน การเจริญสติเราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้มีให้เกิด แล้วก็รู้จักเอาไปวิเคราะห์จิต ทำความเข้าใจกับจิตของเรา เราก็จะได้เป็นบุคคลที่เข้าวัด อยู่ใกล้พระ อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรควรเจริญ อะไรควรละ ก็จะพิจารณาตัวเองออก ถ้าคนเราไม่ได้เจริญสติ ก็ยากที่จะเข้าใจจิต ก็ยากที่จะรู้จิต ส่วนมากก็มีแต่ความคิดแบบโลกๆ แบบโลกิยะ ซึ่งจิตส่งออกไปภายนอก ทั้งจิตส่งออกไปด้วย ทั้งหลงด้วย ทั้งที่เรารู้ๆ อยู่นั่นแหละ มันก็หลงอยู่ เพราะว่าจิตยังเกิด ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ยังหลงอยู่ ยังเกิดไปตามวิบากกรรม ยิ่งอยู่แต่ละวันๆ ไม่รู้กี่เที่ยว ไม่รู้กี่รอบ เหนื่อยก็รู้ว่าเหนื่อย หนักก็รู้ว่าหนักอยู่ แต่หาจุดปลงจุดวางไม่ได้ อยากจะปลงอยากจะวางมันก็วางไม่ได้ เพราะว่าไม่มีสติเข้าไปสำรวจตรวจตรา หมั่นพร่ำสอนจิต หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ ให้จิตยอมรับความจริง จิตอาจจะยอมรับความจริงอยู่ในระดับของสมมติแค่นั้นเอง ถ้าเขาไม่รู้ไม่เห็นจริงๆ แยกไม่ได้จริงๆ ยากที่เขาจะวางได้เหมือนกัน เพราะว่าเป็นของละเอียด เขาอยู่ด้วยกันมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ กี่กัปกี่กัลป์
ตามที่เคยได้อ่านในพระไตรปิฎกดู จิตของคนเรานี้วนเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ กี่กัปกี่กัลป์ เหมือนกับพระพุทธองค์ ท่านก็เวียนว่ายตายเกิดจนมาในภพสุดท้าย ได้เกิดมาสร้างบารมี 10 มาสร้างบารมีให้เต็ม บารมีจากสุดท้ายก็พระเวสสันดร ให้ทาน ทานลูก ทานเมีย ทานทุกสิ่งทุกอย่าง ทานข้าวทานของ เพราะว่าจิตมีแต่ให้ มีแต่เอาออก ตบะบารมี ทั้งไม่พูดไม่จายอมเป็นใบ้ก็มี สารพัดอย่าง เกิดเป็นเต่า เกิดเป็นนก เกิดเป็นงู เกิดเป็นลิง มีหมดที่สร้างอานิสงส์ สร้างตบะ สร้างบารมี ในช่วงระยะบารมีช่วงหลังๆ ที่จะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แม้แต่การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาในชาติสุดท้าย ท่านก็เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างออกผนวช ก็ได้บําเพ็ญตบะหลงทางอยู่ไป 5-6 ปีถึงได้ตรัสรู้
ที่ว่าหลงทางนั้น เพราะว่าท่านไปบําเพ็ญเฉพาะทางด้านรูปธรรม ทางด้านร่างกาย บําเพ็ญจนร่างกายนี้จนเหลือแต่ซาก เหลือแต่โครงกระดูก เนื้อ หนัง เอ็น กระดูกต่างๆ จนมองเห็นตามที่เราเห็นภาพอิริยาบถที่ท่านได้ปฏิบัติแบบอุกฤษฏ์ เหลือแต่โครงกระดูก ซี่โครง ทุกกิริยาที่เราเคยมองเห็น อยู่ที่ศาลาหลังโรงครัวนั้นก็มีอยู่ ที่เป็นภาพที่ท่านปฏิบัติแบบอุกฤษฏ์ จนกว่าท่านมาเข้าใจในเรื่องการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า มาแยกรูปแยกนาม เข้าใจในหลักของอริยสัจ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร ท่านถึงมาตรัสรู้ ถึงได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ด้วยการเจริญวิปัสสนา ละกิเลส
ท่านก็ดำเนินทางผิดมา 6 ปี ท่านถึงได้มาเข้าใจในเรื่องของหลักอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ และก็หนทางเดินตามทางในอริยมรรค มรรคคือทางเดิน สัมมาทิฐิ คือแยกรูปแยกนาม รู้เห็นตามความเป็นจริง พูดจาชอบ ดำริชอบ การงานชอบ ตั้งสติชอบ ระลึกชอบ ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ พวกเราก็น่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ นะ เพราะว่าพระองค์ท่านก็ปูทางเอาไว้ให้ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย เพราะการละกิเลส การขัดเกลากิเลส อยากจะรู้ธรรม แม้แต่ความอยากท่านก็ยังให้ดับ ให้ดับความอยาก ความโลภ ความโกรธ คลายความหลง ท่านก็ยังให้ละให้ดับ จะไปปฏิบัติไปฝึกหัดที่ไหน ถ้าไม่ได้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์กาย วิเคราะห์จิตมันก็ยากที่จะเข้าใจ ปฏิบัติเพื่อละกิเลส เพื่อคลายความหลง
บุคคลที่มีบุญ มีสติ มีปัญญา สร้างบารมีมาดี ก็จะพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอน ก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ รู้จักขวนขวาย รู้จักสร้างให้มีให้เกิด ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวให้คนโน้นเขาชี้ คนนี้เขาชี้ เราชี้แนะแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง นั่นแหละ บุคคลเช่นนี้แหละจะไปถึงฝั่งได้เร็วได้ไว ก็มีไม่มากหรอก กายอยู่ที่ไหน ใจอยู่ที่ไหน ก็เจริญสติเข้าไปสำรวจแก้ไขอยู่ที่นั่นแหละ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ก็ต้องพยายามกัน พยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบารมี ถ้าจิตของเราไม่มีศรัทธา ไม่ได้น้อมเข้ามา มันก็ยากที่จะคลาย บางทีจิตก็ฝักใฝ่ในบุญในกุศลอยู่ แต่ก็ยังไม่ถึงฝั่งถึงจุดหมาย เพราะว่าการเกิดของจิตก็ยังมีอยู่ เราต้องดับความเกิดให้สิ้นซากเสีย เราก็จะได้มองเห็นทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ไม่ใช่ว่าจะละได้ง่ายๆ จิตเขาก็ไม่ยอมรับง่ายๆ ถ้ากําลังสติปัญญาหาเหตุหาผลไม่เพียงพอ กําลังสติต้องหาเหตุหาผลเข้าไปหมั่นพร่ำสอนจิต ไม่เอาอะไรสักอย่างนั่นแหละ ฝึกหัดปฏิบัติเพื่อคลาย เพื่อดู เพื่อรู้ ไม่เอาอะไรสักอย่าง จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์เท่านั้นเอง ยืนเดินนั่งนอน ก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ แม้แต่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่ว่าอยากเฉพาะในเรื่องอาหาร อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากมา ท่านก็ยังให้ละออกให้หมด ให้ตัดออกให้หมด ให้เป็นความต้องการของสติของปัญญา ต้องเก็บรายละเอียดของจิตให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าจะปล่อยเลยตามเลย คนทั่วไปแล้วความทะเยอทะยานอยากนําหน้า ทั้งอยากด้วย ทั้งหวังด้วย ทั้งยึดด้วย มองดูแล้วก็ยังหลงกันอยู่ บางทีก็หลงอยู่ในบุญก็มี ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ เอามันหมดนั่นแหละ สร้างมันหมดนั่นแหละ สิ่งไหนที่จะเป็นบุญเป็นกุศล บุญอานิสงส์ต่างๆ นี่แหละเป็นสะพาน เป็นเรือให้เราได้ข้ามฝั่ง ถ้าเราเดินถึงฝั่งแล้ว เราก็ไม่ต้องไปยึดไปติด เราจะกลับมาที่เก่า เราก็อาศัยบุญ อาศัยเรือนี่แหละ ก็ต้องพยายามกัน
ตั้งใจรับพร
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา ตั้งแต่เช้าตื่นขึ้นมาพวกท่านได้สร้างความรู้ตัวน้อมเข้าไปรู้กายของเราแล้วหรือยัง ทำจิตของเราให้สงบ สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง วางกายให้สบาย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้เกิดความเคยชิน อย่าไปบังคับ อย่าไปเพ่ง
เพียงแค่เรื่องของการหายใจเข้าออก ความรู้สึกรับรู้อยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่องกัน พวกเรายังทำกันไม่ชำนาญ พวกเรายังทำกันไม่ต่อเนื่องเลย จะไปรู้เท่าทันการเกิดของจิต การเกิดของขันธ์ห้าได้อย่างไร แม้ตั้งแต่สติก็ยังไม่มีกําลัง จะเอาแต่ปัญญาไปนึกไปคิดเอา ทั้งที่จิตเขาเป็นบุญ ทั้งที่จิตเขาฝักใฝ่ในบุญในกุศลอยู่ ในการสร้างตบะ สร้างบารมี ยังอยู่ในกองบุญกองกุศลอยู่ บุคคลที่มีความเพียรเท่านั้นแหละ ที่จะหมั่นวิเคราะห์สังเกตหาตัวเองให้เจอ หาตนให้เจอ ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนหนึ่งคือจิต ตนหนึ่งคือตัวสติ ที่เราสร้าง สร้างเข้าไปสังเกต สร้างเข้าไปวิเคราะห์ ความรู้ตัวไม่มีเราก็ต้องสร้าง ทั้งที่ปัญญาเก่ามันเต็ม เต็มร้อย เกินร้อย เราก็ต้องคลายออกทั้งหมดนั่นแหละ
เราต้องสร้างสติเข้าไปสังเกต ถ้าเราสังเกตทันตั้งแต่ต้นเหตุได้ ถ้าเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกัน เขาจะคลายของเขาเอง เขาก็จะคลายความหลง หลงเข้าไปร่วม ทั้งที่จิตบางครั้งก็ไม่มีกิเลส แต่เขาเคลื่อนเข้าไปร่วม เข้าไปยึด เขาก็เลยหลง ตรงนี้สำคัญ แต่การละกิเลสก็มีบ้าง เราต้องพยายามละให้ได้หมด ทั้งหยาบ ทั้งละเอียด ทั้งการเกิด ถึงจะรู้ทางของจิตได้จริงๆ จิตนี่ถ้าไม่ฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติเขาแล้ว เขาก็เกิดด้วย วิ่งด้วย สารพัดอย่าง เขาปิดกั้นตัวเองเอาไว้ ขันธ์ห้าก็มาปิดกั้นเอาไว้ กิเลสก็มาปกปิดเอาไว้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด นิวรณธรรมต่างๆ มลทินต่างๆ เยอะๆ ถ้าเอาจริงๆ นี่เยอะมากเลยจริงๆ ถ้ากำลังสติยิ่งฝึกเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทำความเข้าใจ แล้วค่อยละ แล้วก็สร้างตบะบารมี
จิตของเราเกิดความโลภ เราก็คลายความโลภ ละความโลภด้วยการบริจาค ด้วยการให้ จิตเกิดความตระหนี่ เราก็คลายความตระหนี่ ละความตระหนี่ ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ถ้าเราพยายามศึกษาได้อย่างนี้ ทำได้อย่างนี้ ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก เราตรวจดูตัวเอง แก้ไขตัวเองตลอดเวลา จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทนจิต ทำมากทำน้อย เอามากเอาน้อย ก็ความขยันหมั่นเพียร ทำมากก็ได้มาก ทำน้อยก็ได้น้อย เราเอาความรับผิดชอบเข้าไปแทนที่ พรหมวิหารเข้าไปแทนที่ มันละเอียดมากทีเดียวเรื่องจิตนี่ถ้าคนไม่ฝักใฝ่ ถ้าไม่ตรงจริงๆ นี่ยากที่จะเห็น ยากที่จะเข้าใจ ส่วนมากก็รู้อยู่บ้างนิดๆ หน่อยๆ ครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็ไปไม่ถึงกัน มันก็เลยยากอยู่ ก็ต้องพยายามนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง อย่าไปปิดกั้นตัวเอง
ทุกคนก็มีระบบระเบียบ ทุกคนก็มีข้อวัตรปฏิบัติในตัวเอง เราต้องทำความเข้าใจ ศีล ความสงบของกาย วาจา ลึกลงไปความสงบของจิต อธิจิต อธิศีล อธิวินัย ก็อยู่ที่ตรงนี้ ศีลสมมติ ศีลสังคม ศีลวิมุตติ สมาธิ ความสงบ สงบด้วยการข่ม ด้วยการรู้เห็นตามความเป็นจริง ด้วยการวาง ด้วยการสงบ มาปัญญา รู้เห็นตามความเป็นจริง จิตคลายออกจากขันธ์ห้า เขาเรียกว่า ‘ปัญญาวิปัสสนา’ อย่าไปนึกไปคิดเอาเด็ดขาด ถ้ายังคลายตรงนี้ไม่ได้ ถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ บางคนบางท่านก็ว่าไปนั่งวิปัสสนา มันไม่ใช่ ไปนั่งนึก นั่งคิด
แม้แต่สติก็ยังไม่ได้สร้างขึ้นมา พากันหลงไปฝึก ฝึกปฏิบัติก็ไม่รู้ว่าการฝึกจุดมุ่งหมายของการฝึกอยู่ที่ไหน การเจริญสติเป็นอย่างไร มีตั้งแต่ไปนึกเอาไปคิดเอา ไปลูบๆ คลำๆ นั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สีลัพพตปรามาส’ หรือศีลงมงาย ไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงแล้ว กาย วาจา ใจ ของเรานี่แหละคือศีล เจริญสติเข้าไปละ เข้าไปดับ ละกิเลสได้มากมายเท่าไร จิตของเราก็จะสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นเป็นทวีคูณ แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน แม้แต่เรื่องการหายใจก็อย่าไปเพ่ง อย่าไปจ้อง อย่าไปจดจ่อ มีความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่นแหละ ถ้าเรามีความรู้ตัวได้ต่อเนื่องเมื่อไร เราก็จะรู้อาการของจิต รู้การก่อตัวของจิต รู้การก่อตัวของความคิด ในส่วนที่ลึกลงไปอีก ไม่ใช่ว่าฝึกเฉยๆ ถ้าเรารู้แล้วเห็นแล้วจะสนุก กิเลสตัวไหนมันจะมาหลอกเรา เราก็จะรู้ ต่อไปข้างหน้าเราก็จะรู้รายละเอียดลึกลงไปอีกเยอะแยะ เพียงแค่เริ่มต้นพวกเราก็ทำให้ชํานาญกัน ตั้งสติรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
การเจริญสติก็เหมือนกัน การเจริญสติเราต้องพยายามสร้างขึ้นมาให้มีให้เกิด แล้วก็รู้จักเอาไปวิเคราะห์จิต ทำความเข้าใจกับจิตของเรา เราก็จะได้เป็นบุคคลที่เข้าวัด อยู่ใกล้พระ อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรควรเจริญ อะไรควรละ ก็จะพิจารณาตัวเองออก ถ้าคนเราไม่ได้เจริญสติ ก็ยากที่จะเข้าใจจิต ก็ยากที่จะรู้จิต ส่วนมากก็มีแต่ความคิดแบบโลกๆ แบบโลกิยะ ซึ่งจิตส่งออกไปภายนอก ทั้งจิตส่งออกไปด้วย ทั้งหลงด้วย ทั้งที่เรารู้ๆ อยู่นั่นแหละ มันก็หลงอยู่ เพราะว่าจิตยังเกิด ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ยังหลงอยู่ ยังเกิดไปตามวิบากกรรม ยิ่งอยู่แต่ละวันๆ ไม่รู้กี่เที่ยว ไม่รู้กี่รอบ เหนื่อยก็รู้ว่าเหนื่อย หนักก็รู้ว่าหนักอยู่ แต่หาจุดปลงจุดวางไม่ได้ อยากจะปลงอยากจะวางมันก็วางไม่ได้ เพราะว่าไม่มีสติเข้าไปสำรวจตรวจตรา หมั่นพร่ำสอนจิต หมั่นสังเกต หมั่นวิเคราะห์ ให้จิตยอมรับความจริง จิตอาจจะยอมรับความจริงอยู่ในระดับของสมมติแค่นั้นเอง ถ้าเขาไม่รู้ไม่เห็นจริงๆ แยกไม่ได้จริงๆ ยากที่เขาจะวางได้เหมือนกัน เพราะว่าเป็นของละเอียด เขาอยู่ด้วยกันมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ กี่กัปกี่กัลป์
ตามที่เคยได้อ่านในพระไตรปิฎกดู จิตของคนเรานี้วนเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ กี่กัปกี่กัลป์ เหมือนกับพระพุทธองค์ ท่านก็เวียนว่ายตายเกิดจนมาในภพสุดท้าย ได้เกิดมาสร้างบารมี 10 มาสร้างบารมีให้เต็ม บารมีจากสุดท้ายก็พระเวสสันดร ให้ทาน ทานลูก ทานเมีย ทานทุกสิ่งทุกอย่าง ทานข้าวทานของ เพราะว่าจิตมีแต่ให้ มีแต่เอาออก ตบะบารมี ทั้งไม่พูดไม่จายอมเป็นใบ้ก็มี สารพัดอย่าง เกิดเป็นเต่า เกิดเป็นนก เกิดเป็นงู เกิดเป็นลิง มีหมดที่สร้างอานิสงส์ สร้างตบะ สร้างบารมี ในช่วงระยะบารมีช่วงหลังๆ ที่จะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แม้แต่การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาในชาติสุดท้าย ท่านก็เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างออกผนวช ก็ได้บําเพ็ญตบะหลงทางอยู่ไป 5-6 ปีถึงได้ตรัสรู้
ที่ว่าหลงทางนั้น เพราะว่าท่านไปบําเพ็ญเฉพาะทางด้านรูปธรรม ทางด้านร่างกาย บําเพ็ญจนร่างกายนี้จนเหลือแต่ซาก เหลือแต่โครงกระดูก เนื้อ หนัง เอ็น กระดูกต่างๆ จนมองเห็นตามที่เราเห็นภาพอิริยาบถที่ท่านได้ปฏิบัติแบบอุกฤษฏ์ เหลือแต่โครงกระดูก ซี่โครง ทุกกิริยาที่เราเคยมองเห็น อยู่ที่ศาลาหลังโรงครัวนั้นก็มีอยู่ ที่เป็นภาพที่ท่านปฏิบัติแบบอุกฤษฏ์ จนกว่าท่านมาเข้าใจในเรื่องการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า มาแยกรูปแยกนาม เข้าใจในหลักของอริยสัจ เห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร ท่านถึงมาตรัสรู้ ถึงได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ด้วยการเจริญวิปัสสนา ละกิเลส
ท่านก็ดำเนินทางผิดมา 6 ปี ท่านถึงได้มาเข้าใจในเรื่องของหลักอริยสัจ ความจริงอันประเสริฐ และก็หนทางเดินตามทางในอริยมรรค มรรคคือทางเดิน สัมมาทิฐิ คือแยกรูปแยกนาม รู้เห็นตามความเป็นจริง พูดจาชอบ ดำริชอบ การงานชอบ ตั้งสติชอบ ระลึกชอบ ทำความเข้าใจกับสมมติ ทำความเข้าใจกับวิมุตติ พวกเราก็น่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ นะ เพราะว่าพระองค์ท่านก็ปูทางเอาไว้ให้ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย เพราะการละกิเลส การขัดเกลากิเลส อยากจะรู้ธรรม แม้แต่ความอยากท่านก็ยังให้ดับ ให้ดับความอยาก ความโลภ ความโกรธ คลายความหลง ท่านก็ยังให้ละให้ดับ จะไปปฏิบัติไปฝึกหัดที่ไหน ถ้าไม่ได้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์กาย วิเคราะห์จิตมันก็ยากที่จะเข้าใจ ปฏิบัติเพื่อละกิเลส เพื่อคลายความหลง
บุคคลที่มีบุญ มีสติ มีปัญญา สร้างบารมีมาดี ก็จะพร่ำสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ยืนเดินนั่งนอน ก็ให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ รู้จักขวนขวาย รู้จักสร้างให้มีให้เกิด ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวให้คนโน้นเขาชี้ คนนี้เขาชี้ เราชี้แนะแก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง นั่นแหละ บุคคลเช่นนี้แหละจะไปถึงฝั่งได้เร็วได้ไว ก็มีไม่มากหรอก กายอยู่ที่ไหน ใจอยู่ที่ไหน ก็เจริญสติเข้าไปสำรวจแก้ไขอยู่ที่นั่นแหละ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ก็ต้องพยายามกัน พยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบารมี ถ้าจิตของเราไม่มีศรัทธา ไม่ได้น้อมเข้ามา มันก็ยากที่จะคลาย บางทีจิตก็ฝักใฝ่ในบุญในกุศลอยู่ แต่ก็ยังไม่ถึงฝั่งถึงจุดหมาย เพราะว่าการเกิดของจิตก็ยังมีอยู่ เราต้องดับความเกิดให้สิ้นซากเสีย เราก็จะได้มองเห็นทางว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน
ไม่ใช่ว่าจะละได้ง่ายๆ จิตเขาก็ไม่ยอมรับง่ายๆ ถ้ากําลังสติปัญญาหาเหตุหาผลไม่เพียงพอ กําลังสติต้องหาเหตุหาผลเข้าไปหมั่นพร่ำสอนจิต ไม่เอาอะไรสักอย่างนั่นแหละ ฝึกหัดปฏิบัติเพื่อคลาย เพื่อดู เพื่อรู้ ไม่เอาอะไรสักอย่าง จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญา ยังสมมติให้เกิดประโยชน์เท่านั้นเอง ยืนเดินนั่งนอน ก็เป็นแค่เพียงอิริยาบถ แม้แต่ความอยากเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่ว่าอยากเฉพาะในเรื่องอาหาร อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ไม่อยากมา ท่านก็ยังให้ละออกให้หมด ให้ตัดออกให้หมด ให้เป็นความต้องการของสติของปัญญา ต้องเก็บรายละเอียดของจิตให้ชัดเจน ไม่ใช่ว่าจะปล่อยเลยตามเลย คนทั่วไปแล้วความทะเยอทะยานอยากนําหน้า ทั้งอยากด้วย ทั้งหวังด้วย ทั้งยึดด้วย มองดูแล้วก็ยังหลงกันอยู่ บางทีก็หลงอยู่ในบุญก็มี ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำ เอามันหมดนั่นแหละ สร้างมันหมดนั่นแหละ สิ่งไหนที่จะเป็นบุญเป็นกุศล บุญอานิสงส์ต่างๆ นี่แหละเป็นสะพาน เป็นเรือให้เราได้ข้ามฝั่ง ถ้าเราเดินถึงฝั่งแล้ว เราก็ไม่ต้องไปยึดไปติด เราจะกลับมาที่เก่า เราก็อาศัยบุญ อาศัยเรือนี่แหละ ก็ต้องพยายามกัน
ตั้งใจรับพร
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเรา ตั้งแต่เช้าตื่นขึ้นมาพวกท่านได้สร้างความรู้ตัวน้อมเข้าไปรู้กายของเราแล้วหรือยัง ทำจิตของเราให้สงบ สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง วางกายให้สบาย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ให้เกิดความเคยชิน อย่าไปบังคับ อย่าไปเพ่ง
เพียงแค่เรื่องของการหายใจเข้าออก ความรู้สึกรับรู้อยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่องกัน พวกเรายังทำกันไม่ชำนาญ พวกเรายังทำกันไม่ต่อเนื่องเลย จะไปรู้เท่าทันการเกิดของจิต การเกิดของขันธ์ห้าได้อย่างไร แม้ตั้งแต่สติก็ยังไม่มีกําลัง จะเอาแต่ปัญญาไปนึกไปคิดเอา ทั้งที่จิตเขาเป็นบุญ ทั้งที่จิตเขาฝักใฝ่ในบุญในกุศลอยู่ ในการสร้างตบะ สร้างบารมี ยังอยู่ในกองบุญกองกุศลอยู่ บุคคลที่มีความเพียรเท่านั้นแหละ ที่จะหมั่นวิเคราะห์สังเกตหาตัวเองให้เจอ หาตนให้เจอ ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนหนึ่งคือจิต ตนหนึ่งคือตัวสติ ที่เราสร้าง สร้างเข้าไปสังเกต สร้างเข้าไปวิเคราะห์ ความรู้ตัวไม่มีเราก็ต้องสร้าง ทั้งที่ปัญญาเก่ามันเต็ม เต็มร้อย เกินร้อย เราก็ต้องคลายออกทั้งหมดนั่นแหละ
เราต้องสร้างสติเข้าไปสังเกต ถ้าเราสังเกตทันตั้งแต่ต้นเหตุได้ ถ้าเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกัน เขาจะคลายของเขาเอง เขาก็จะคลายความหลง หลงเข้าไปร่วม ทั้งที่จิตบางครั้งก็ไม่มีกิเลส แต่เขาเคลื่อนเข้าไปร่วม เข้าไปยึด เขาก็เลยหลง ตรงนี้สำคัญ แต่การละกิเลสก็มีบ้าง เราต้องพยายามละให้ได้หมด ทั้งหยาบ ทั้งละเอียด ทั้งการเกิด ถึงจะรู้ทางของจิตได้จริงๆ จิตนี่ถ้าไม่ฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าไม่ได้ฝึกหัดปฏิบัติเขาแล้ว เขาก็เกิดด้วย วิ่งด้วย สารพัดอย่าง เขาปิดกั้นตัวเองเอาไว้ ขันธ์ห้าก็มาปิดกั้นเอาไว้ กิเลสก็มาปกปิดเอาไว้ กิเลสหยาบกิเลสละเอียด นิวรณธรรมต่างๆ มลทินต่างๆ เยอะๆ ถ้าเอาจริงๆ นี่เยอะมากเลยจริงๆ ถ้ากำลังสติยิ่งฝึกเท่าไรยิ่งเห็นเยอะ ยิ่งเห็นเยอะเท่าไรก็ยิ่งทำความเข้าใจ แล้วค่อยละ แล้วก็สร้างตบะบารมี
จิตของเราเกิดความโลภ เราก็คลายความโลภ ละความโลภด้วยการบริจาค ด้วยการให้ จิตเกิดความตระหนี่ เราก็คลายความตระหนี่ ละความตระหนี่ ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ถ้าเราพยายามศึกษาได้อย่างนี้ ทำได้อย่างนี้ ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก เราตรวจดูตัวเอง แก้ไขตัวเองตลอดเวลา จะเอาจะมีจะเป็น ก็เป็นเรื่องของปัญญาเข้าไปทำหน้าที่แทนจิต ทำมากทำน้อย เอามากเอาน้อย ก็ความขยันหมั่นเพียร ทำมากก็ได้มาก ทำน้อยก็ได้น้อย เราเอาความรับผิดชอบเข้าไปแทนที่ พรหมวิหารเข้าไปแทนที่ มันละเอียดมากทีเดียวเรื่องจิตนี่ถ้าคนไม่ฝักใฝ่ ถ้าไม่ตรงจริงๆ นี่ยากที่จะเห็น ยากที่จะเข้าใจ ส่วนมากก็รู้อยู่บ้างนิดๆ หน่อยๆ ครึ่งๆ กลางๆ แล้วก็ไปไม่ถึงกัน มันก็เลยยากอยู่ ก็ต้องพยายามนะ อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง อย่าไปปล่อยเวลาทิ้ง อย่าไปปิดกั้นตัวเอง
ทุกคนก็มีระบบระเบียบ ทุกคนก็มีข้อวัตรปฏิบัติในตัวเอง เราต้องทำความเข้าใจ ศีล ความสงบของกาย วาจา ลึกลงไปความสงบของจิต อธิจิต อธิศีล อธิวินัย ก็อยู่ที่ตรงนี้ ศีลสมมติ ศีลสังคม ศีลวิมุตติ สมาธิ ความสงบ สงบด้วยการข่ม ด้วยการรู้เห็นตามความเป็นจริง ด้วยการวาง ด้วยการสงบ มาปัญญา รู้เห็นตามความเป็นจริง จิตคลายออกจากขันธ์ห้า เขาเรียกว่า ‘ปัญญาวิปัสสนา’ อย่าไปนึกไปคิดเอาเด็ดขาด ถ้ายังคลายตรงนี้ไม่ได้ ถ้ายังแยกรูปแยกนามไม่ได้ บางคนบางท่านก็ว่าไปนั่งวิปัสสนา มันไม่ใช่ ไปนั่งนึก นั่งคิด
แม้แต่สติก็ยังไม่ได้สร้างขึ้นมา พากันหลงไปฝึก ฝึกปฏิบัติก็ไม่รู้ว่าการฝึกจุดมุ่งหมายของการฝึกอยู่ที่ไหน การเจริญสติเป็นอย่างไร มีตั้งแต่ไปนึกเอาไปคิดเอา ไปลูบๆ คลำๆ นั่นแหละ เขาเรียกว่า ‘สีลัพพตปรามาส’ หรือศีลงมงาย ไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงแล้ว กาย วาจา ใจ ของเรานี่แหละคือศีล เจริญสติเข้าไปละ เข้าไปดับ ละกิเลสได้มากมายเท่าไร จิตของเราก็จะสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นเป็นทวีคูณ แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราก็คงจะเดินถึงจุดหมายปลายทางกัน
ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจน แม้แต่เรื่องการหายใจก็อย่าไปเพ่ง อย่าไปจ้อง อย่าไปจดจ่อ มีความรู้สึกรับรู้ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้ให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมานั่นแหละ ถ้าเรามีความรู้ตัวได้ต่อเนื่องเมื่อไร เราก็จะรู้อาการของจิต รู้การก่อตัวของจิต รู้การก่อตัวของความคิด ในส่วนที่ลึกลงไปอีก ไม่ใช่ว่าฝึกเฉยๆ ถ้าเรารู้แล้วเห็นแล้วจะสนุก กิเลสตัวไหนมันจะมาหลอกเรา เราก็จะรู้ ต่อไปข้างหน้าเราก็จะรู้รายละเอียดลึกลงไปอีกเยอะแยะ เพียงแค่เริ่มต้นพวกเราก็ทำให้ชํานาญกัน ตั้งสติรับรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนกัน
ไหว้พระพร้อมๆ กัน ค่อยไปทำความเข้าใจต่อกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง