หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 21

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 21
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
พระธรรมเทศนาโดย (Dhamma Talk by)
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 21
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเรา พยายามฝึกฝนตนเองให้เกิดความเคยชิน จิตที่ไม่สงบก็พยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้น สติไม่มีก็พยายามสร้างให้มีให้เกิดขึ้น พยายามสร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่องให้ได้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้จักแก้ไขตัวเรา ขยันหมั่นเพียร รู้จักรับผิดชอบ

แต่ละวันๆ ตื่นขึ้นมา เราต้องพยายามวิเคราะห์ทุกเรื่องในชีวิตของเรา แล้วก็เพิ่มความขยันหมั่นเพียรทั้งงานภายใน งานภายนอก งานสมมติ งานวิมุตติ จนกว่าจะจบทุกอย่าง แต่งงานสมมติจบไม่เป็น งานวิมุตตินี่จบเป็น งานทางด้านจิต จิตจบ ละกิเลสหมดจด จิตไม่เกิด เขาก็จบกิจ แต่งานสมมตินี่ก็ทำเพื่อยังอัตภาพทางสมมติให้อยู่ดีมีความสุข ทำให้สมมติได้อยู่ดีมีความสุข จบไม่เป็น ไม่เหมือนกับวิมุตติ ไม่เหมือนกับการชำระสะสางกิเลส การชำระสะสางกิเลสนี่ก็ทำหมดจด เขาก็จบ มองเห็นหนทางทะลุปรุโปร่งว่าเราจะได้กลับมาเกิดหรือไม่ได้กลับมาเกิด ก็ต้องพยายาม

สร้างตบะบารมี ขันติความเพียร เพียรในการแผดเผากิเลส เพียรในการทำหน้าที่ เพียรในความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี ก็พยายามกัน อย่าปล่อยวันเวลาทิ้งอย่าปล่อยโอกาสทิ้งเสียดายเวลา เวลาภายนอกเราก็พยายามทำสมมติให้เกิดประโยชน์ เราก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย คนอื่นมาก็พลอยได้รับประโยชน์นั้นด้วย ได้อนิสงส์ทางสมมติ

ตราบใดที่จิตยังไม่หลุดพ้น ตราบใดที่จิตยังเกิด ยังวิ่งอยู่ ก็ต้องอาศัยอานิสงส์สมมติ ถึงจิตจะหลุดพ้นก็ยังอาศัยอานิสงส์สมมติ นอกจากกายของเราจะแตกดับนั่นแหละ คือจิตของเราถ้าหมดจดถึงจะไม่ได้กลับมาเกิด ถ้าจิตยังเกิดอยู่ ก็อาศัยอานิสงส์ผลบุญที่พวกเราได้สร้าง ได้ทำเอาไว้นี่แหละ เกื้อหนุนส่งไปในวันข้างหน้าหรือในภพข้างหน้า เพราะว่าภพภูมิต่างๆ วิญญาณต่างๆ ก็มีกันหมด ภพภูมิต่ำ ภพภูมิสูง ภพภูมิกลาง จนกว่าจะถึงนิพพานซึ่งไม่ต้องกลับมาเกิดกัน ก็ต้องพยายาม

อย่าไปปล่อยวันเวลา อย่าไปปล่อยเวลาปัจจุบัน เราต้องทำความเข้าใจคำว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ คือทุกขณะลมหายใจเข้า ออกทุกขณะจิต ความรู้ตัวสติปัญญาของทุกคนมีกันเพียบพร้อม แต่เป็นสติปัญญาอยู่ระดับของสมมติ อยู่ระดับของโลกิยะ กับการสร้างบารมี ตราบใดที่ยังคลายจิตออกจากความหลง แยกรูปแยกนามไม่ได้ ก็ยังอยู่ในวงจรของการเกิดอยู่ ถ้าแยกรูปแยกนามได้ ถ้าไม่ทำความเข้าใจ ถ้าไม่ละ มันก็ยังเกิดอยู่ ก็ต้องพยายามทำเอา ไม่ว่าพระว่าโยมว่าชีก็มีความปรารถนาที่จะหลุดพ้น มีความปรารถนาที่จะให้ถึงจุดหมายปลายทาง

ทำอย่างไรมันถึงจะถึง เราจะดิ้นรนอย่างไรมันก็ไม่ถึงถ้าอานิสงส์บารมีของเราไม่พอ เราก็ต้องพยายามสร้างบารมีของเราไปเรื่อยๆ ถึงสักวันหนึ่งอานิสงส์ของเราเต็มเปี่ยม เราก็คงจะถึงจุดหมาย ไม่ใช่ว่าอยากจะได้แต่ทำธรรม อยากจะรู้แต่ธรรม แต่การกระทำมันไม่มี มีแต่ความเกียจคร้าน ไม่มีความรับผิดชอบ มันจะไปได้ทรัพย์อันสูงได้อย่างไร คนเราต้องมีความรับผิดชอบ มีความอนุเคราะห์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา คอยอนุเคราะห์ คอยกระตุ้นเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง อนุเคราะห์หมู่คณะเพื่อนฝูง

ทั้งภายนอกภายในก็ไปด้วยกันควบคู่กันไป ถ้าจะเอาแต่ข้างใน ภายนอกก็ยังลำบากอยู่ การประพฤติปฏิบัติมันก็ยากก็ลำบาก ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ที่นั่ง ที่ถ่ายที่เยี่ยว มันไม่พร้อมมันก็ลำบาก นี่แหละ เขาเรียกว่า ‘สมมติยังไม่บริบูรณ์’ ถ้าสมมติบริบูรณ์สัปปายะ ที่พักก็สัปปายะ อาหารการอยู่การกินก็สัปปายะ หมู่คณะสัปปายะ ผู้น้อยก็คอยดูผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็คอยดูผู้น้อย อนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ว่าจะคอยทิ่มแทงคนนั้น ทิ่มแทงคนนี้ นั่นแหละมลทิน นั่นแหละอคติ กิเลส

ผู้ใหญ่ก็ให้เจริญพรหมวิหารเป็นที่พึ่งของลูกของหลาน เป็นผู้อนุเคราะห์ อะไรขาดตกบกพร่อง ทุ่มเทลงไปให้คนข้างล่างได้อยู่ดีมีความสุข คนข้างล่างมีอะไรพอที่จะช่วยได้ก็ช่วยกัน ไม่ว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เพียงแค่สร้างความรับผิดชอบ ความเสียสละ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน ห้องส้วมห้องน้ำ เป็นอย่างไร ไม่ว่าพระไม่ว่าชี แม้แต่ฆราวาส ก็ช่วยกันตั้งแต่ปากทางถึงก้นครัว ปากทางเป็นอย่างไร ถนนหนทางเป็นอย่างไร สะอาดไหม หรือมีเศษแก้ว เศษตะปูจะคอยทิ่มแทงอยู่ เราก็ต้องคอยมองดู มองบนมองล่าง ข้างบนมีกิ่งไม้กิ่งไหนจะหักใส่ เราก็ต้องดูถึงปากทางถึงก้นครัว

โรงครัวก็เหมือนกัน คนทำครัวนี่ลำบากนะ หนักด้วย ต่างก็ให้ช่วยกันอนุเคราะห์กัน ต่างคนก็ต่างรับผิดชอบ นี่แหละกว่าจะได้ดื่ม ได้ทาน ได้ฉันกิน คนครัวนี้ก็ต้องลำบาก ต้องแบ่งหน้าที่กัน อย่าไปแย่งกันทำ รู้สึกว่าจะแย่งกันทำนะอยู่ที่ครัว ไม่ว่าโยมว่าชีกลัวแต่จะไม่ได้ทำ ฉันทำบ้าง กูทำบ้าง คนนั้นทำ คนนี้ทำ ให้ช่วยกันทำหมดนั่นแหละอย่าไปแบ่งแยกกัน ใครมีหน้าที่อย่างไรก็ช่วยกัน ผู้ใหญ่ก็อนุเคราะห์ผู้น้อยคอยให้ อันนั้นไม่ดีนะ อันนี้ไม่ถูกนะ ค่อยแก้ไขกันไป ไม่ใช่ว่าไปอคติเพ่งโทษกัน คนนั้นทำดี คนนี้ไม่ทำ คนนั้นเกลียจคร้าน ต่อไปข้างหน้าวันข้างหน้าก็ต้องรวมมาฉันที่ครัวทานที่ครัวหมด วังสะพุงนี่ถ้าไม่มีแล้วก็ลำบาก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราก็ต้องพยายามรู้จักใช้ รู้จักเก็บ แล้วก็รู้จักประหยัดด้วย ไม่ใช่ว่าจะไปปล่อยปละละเลย

เรื่องฟืนเรื่องไฟก็เหมือนกัน ยิ่งคนหมู่มากมาอยู่ร่วมกันมาก ยิ่งเพิ่มความประหยัดให้มาก ยิ่งมีมากเท่าไหร่ เรายิ่งประหยัด แล้วก็ยิ่งทำให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่าใช้อย่างฟุ่มเฟือย ยิ่งเป็นคนประหยัดใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ว่ามีมากมายเท่าไหร่ ใช้อย่างทิ้งๆ ขว้างๆ อย่างนั้นใช้การไม่ได้ เราต้องประหยัดใช้ให้เกิดประโยชน์ให้มาก ให้ได้อานิสงส์ให้มาก ประหยัดช่วยกัน ทุกคนอาจจะไม่เข้าใจ อาจจะอยู่ดีมีความสุขได้กินอิ่มหนำสำราญ อยู่ดีมีความสุข

การบริหารเป็นอย่างไร ค่าฟืนค่าไฟ ค่ากับข้าวกับปลา ค่าอาหารเป็นอย่างไร คนหมู่มากมันเป็นอย่างไร ยิ่งคนหมู่มากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มความรับผิดชอบ ความเสียสละ ความเป็นระเบียบให้มาก ถ้าจะเป็นจัดระบบระเบียบคนหนึ่งคนเดียวไม่ได้ ก็ต้องจัดให้หมดทุกคนถึงจะอยู่ดีมีความสุข ไปที่ไหนก็ให้เป็นระเบียบ ให้สะอาด ให้งามตา ต่างคนต่างก็รักความสะอาด แต่ชอบความสกปรก ก็ไม่ใช่ ก็ใช้การไม่ได้ ทิ้งขว้างไปทั่ว

ทุกเรื่องในชีวิต ถ้าเราไม่วิเคราะห์ ไม่พิจารณา จะเอาแต่ธรรม มันเอาไม่ได้นะ ต้องควบคู่กันไปหมด ต้องหัดจัดตัวเองให้เป็นคนมีระเบียบ เป็นคนรับผิดชอบช่วยกัน หลายคนก็รับผิดชอบช่วยกัน ก็ต้องพยามเอา

ยิ่งทางโรงครัวนี่ก็ยิ่งหนักขึ้นทุกวันๆ เพราะว่าญาติโยมก็เยอะ พระเณรก็เยอะ ชีก็เยอะ ก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียร ประหยัดแล้วก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ให้ทำช่วยกัน บางทีญาติโยมก็มาช่วย ข้าวของก็เก็บให้เป็นระเบียบ อย่าไปทิ้งระเกะระกะ กว่าจะได้มาแต่ละชิ้นแต่ละอัน ญาติโยมกว่าจะหามาได้มา ทำบุญได้ กว่าจะเจียดมาทำบุญได้

มาวิเคราะห์มาพิจารณาดูแล้ว พวกเราได้มาอาศัยอานิสงส์ตรงนี้อยู่ก็พยายามสร้างประโยชน์สร้างบุญให้มากๆ บุญภายนอกบุญภายใน จะเอาตั้งแต่ธรรม จะเอาตั้งแต่ทรัพย์ภายในแต่ข้างนอกไม่สนใจปล่อยปละละเลยมันไม่ได้หรอก เราก็ต้องพยายามกันเอา ทุกคนก็มีบุญกัน ทุกคนก็ใจเป็นบุญกุศลกัน ทุกคนมีก็มีความเสียสละเท่าๆ กันหมดนั่นแหละ

ผู้น้อยผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็พยายามให้เป็นผู้ให้ อะไรผิดพลาดก็แก้ไขช่วยกัน อย่าไปว่ากันอย่า ไปอคติกัน ถ้าทำคนเดียวมันหนัก ต้องทำช่วยกันทำหลายๆ คน อะไรก็กูเอง อะไรก็กูเอง มันหนักนะ ต้องแบ่งกัน ผู้ใหญ่ก็นั่งดูผู้น้อยมีกำลังก็ช่วยกันล้างถ้วยหลังชามทำกับข้าวกับปลา อยู่หลายคนก็มีความสุข อยู่น้อยคนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข ถ้าไม่มีความเสียสละ จิตใจมีความคับแคบ อยู่คนเดียวมันก็ทุกข์ ก็ต้องพยายามเอานะ

เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง