หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 20
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 20
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
พากันดูดีๆ นะพระเราชีเราก่อนที่จะขบจะฉัน กะประมาณในการขบฉันของตัวเราเอง อย่าไปปล่อยโอกาสทิ้ง ตื่นเช้าขึ้นมาเราก็รีบวิเคราะห์จิตของเรา วิเคราะห์กายของเรา สติความรู้ตัวเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มขึ้นมาใหม่ ยิ่งฝึกหัดปฏิบัติใหม่ๆ กายก็หิว จิตก็จะเกิดความอยากได้เร็วได้ไว เราก็รู้จักดับ ไม่ใช่เฉพาะอยากเรื่องอาหารอย่างเดียว อยากมีอยากเป็น อยากไปอยากมา ความอยาก ความปรุงความแต่งสารพัดอย่าง เราก็ต้องควบคุม เราก็ดับ พยายามหยุดไม่ให้จิตเกิดความทะเยอทะยานอยาก หยุดแล้วก็หนุนกำลังสติเข้าไปวิเคราะห์ ไปทำหน้าที่แทนทุกเรื่อง
การเกิดของจิตซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม การเกิดของขันธ์ห้าซึ่งเป็นนามธรรม ส่วนร่างกายของเราก็เป็นส่วนรูปธรรม เขาเข้าไปรวมกันได้อย่างไร เขาปรุงแต่งไปได้อย่างไร เราต้องวิเคราะห์ วิเคราะห์ให้เห็น สร้างตัววิเคราะห์ หรือว่าตรวจสังเกต น้อมเข้าไปดูรู้ฐานของเขาก่อตัวให้ทัน รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับ ถ้าเราเห็นตั้งแต่เขาเกิด เขาก่อตัว จนกว่าเขาจะคลายออกจากกัน นั่นแหละสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ทันที เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร
ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา เราหมั่นวิเคราะห์ตัวเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เอาการเอางานของเราเป็นการฝึกหัดปฏิบัติ ทำงานไปด้วยจิต รับรู้ไปด้วย จิตได้พักผ่อน จิตไม่เครียด ละนิวรณ์ ละความเกียจคร้าน จิตเกิดปีติ จิตเกิดสุข ก็ให้รับรู้ว่าเกิดสุข ละนิวรณ์และความเกียจคร้าน ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง มีความสุขกับการกับงาน มีความสุขกับการละกิเลส
กิเลสตัวไหนมาหลอกเรา เราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ขันธ์ห้ามาหลอกจิตของเราได้อย่างไร จิตปรุงแต่งได้อย่างไร เราไม่ให้จิตของเราเกิด เราเจริญสติไปเกิด ไปทำหน้าที่แทนได้หรือไม่ เราก็หมั่นสำรวจตรวจตราดูเรา กายของเราทำหน้าที่อย่างไร สติ หูตาจมูกลิ้นกาย เป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ส่งเข้าไปถึงตัวใจ เราก็ต้องสำรวจตรวจตราดูตัวเราตลอดเวลา อย่าไปให้คนอื่นเขาได้บังคับ เราต้องตรวจเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเราทุกอิริยาบถ เราไม่ทำด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวจิตได้หรือไม่ กายไม่อยู่ในอำนาจของจิต แต่เวลานี้จิตมายึด มาครอบครองกาย ทุกสิ่งทุกอย่าง จิตไปยึด ไปครอบครองหมด
เราต้องมาคลายจิตออกจากความคิด ออกจากขันธ์ห้า เขาเรียกว่า ‘คลายความหลง’ นี่แหละความหลง ถ้ายังแยกไม่ได้ก็ว่าตัวเองไม่หลง ถ้าแยกได้เมื่อไหร่ถึงจะรู้ว่าหลงความคิด หลงอารมณ์ ถ้าไม่ได้เจริญสติน้อมเข้าไปดูภายในให้ต่อเนื่อง เราก็ว่าตัวเองมีสติ เรามีสติ มีอยู่ แต่เป็นสติปัญญาของโลกิยะ ประคับประคองอยู่ในความปกติแบบโลกๆ ไม่ได้เห็นการเกิด อาการเกิด ลักษณะของการเกิด ฐานของจิต ไม่ได้รู้ลักษณะของความว่าง ตัวจิต ความว่าง ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น
ถึงแม้ว่าจิตจะสงบอยู่ ถ้าจิตยังไม่ได้แยก หรือว่ายังไม่ได้พลิกจากขันธ์ห้า เขาก็ยังไม่ได้หงายขึ้นมา ถ้าเปรียบเสมือนกับขันที่ยังคว่ำอยู่ ยังนิ่งอยู่ ความหลงยังครอบงำอยู่ คือสมมติยังครอบงำอยู่ ถ้าจิตแยกจิตคลาย จิตแยกรูปแยกนาม จิตถึงจะพลิก ก็เรียกว่า ‘วิมุตติ’ ก็จะอยู่ข้างบน สมมติก็จะอยู่ข้างล่าง แต่เขาก็อยู่ด้วยกัน อยู่ในกายของเรานี่แหละ เหมือนกับฝ่ามือกับหลังมือ ฝ่ามือพลิกขึ้นมาเขาก็อยู่ข้างบน หลังมือก็อยู่ข้างล่าง แต่เขาก็อยู่ด้วยกัน อยู่ร่วมกัน แต่เราก็รู้ด้วยปัญญาที่เกิดจากการน้อมเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปสังเกต เห็น ทำความเข้าใจก็จะรู้ความเป็นจริง ดูแลรักษากาย บริหารกาย บริหารสมมติภาระหน้าที่การงานของเราให้ราบรื่น กายแตกดับเมื่อไหร่นั่นแหละ เราถึงจะได้ทิ้งสมมติจริงๆ
ตอนนี้เราทำความเข้าใจให้จิตของเราวาง เราเกิดมาในภพมนุษย์ เพราะว่าความหลงนั่นแหละนำมาพาให้เกิด แต่ในภพมนุษย์นี้มีโอกาสมากกว่าภพอื่นๆ ที่จะเข้าใจในหลักธรรม ในหลักจิต ภพอื่นๆ นั้นก็ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยาก ยากที่จะเข้าใจในธรรม ยิ่งภพภูมิต่ำลงไปอีก นรกภูมิอีกยิ่งจะห่างไกลเข้าไปอีก พวกสวรรค์ต่างๆ ก็หลงสุข เพลิดเพลินในความสุขไปเสีย ก็ยากที่จะเข้าใจในธรรม มีภพมนุษย์ที่เป็นภพภูมิที่ดีที่สุดที่จะบรรลุธรรม เข้าใจในธรรม เข้าใจในหลักจิตของตัวเอง
มีโอกาสก็พยายามรีบทำ รีบสร้างบารมีกันขณะที่เรายังมีกำลังอยู่มีลมหายใจอยู่ เราทำบารมี สร้างบารมีได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรามีความเสียสละ ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ ทำบุญให้กับพี่กับน้อง ทำบุญให้เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน เราขี้เกียจเจริญภาวนาแล้วก็พยายามสร้างความรู้ตัว หมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจตัวเราตลอดเวลานั่นแหละบุญก็จะเกิดขึ้นกับเรา ไม่จำเป็นต้องว่าไปให้ครูบาอาจารย์องค์นั้นเขาบังคับ ไปให้ครูบาอาจารย์องค์นี้เขาบังคับเคี่ยวเข็ญ เราต้องบังคับตัวเรา แก้ไขเราอยู่ตลอดเวลา ขอให้ทำถูกวิธี รู้ไม่ทันก็ดับ ดับแล้วก็วางๆ
หยุด คำว่า ‘ปัจจุบัน’ ดับอยู่ปัจจุบัน วางอยู่ปัจจุบัน ปัจจุบันในทางธรรมคือทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิต พระเราชีเราก็ขยันหมั่นเพียร มีอะไรก็ช่วยกัน สร้างอานิสงส์ใหญ่ สร้างบารมีใหญ่ ต่อไปข้างหน้าก็จะได้ให้เป็นแหล่งบุญใหญ่ของจังหวัดขอนแก่น ของประเทศ
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ตามความเป็นจริงแล้วเราก็ต้องพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา นั่งตามอิริยาบถให้สบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือกัน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ลองดูสิ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ให้เต็มท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา เรามีความรู้สึกเด่นชัด แล้วก็พยายามรู้สึกให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่องอยู่ปัจจุบัน เราจะวิเคราะห์อะไรก็ได้หมด วิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์จิตของเรา เราวิเคราะห์จิตของเราไม่ทัน เราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุมเอาไว้ ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด บางทีสติความรู้ตัวของเราอาจจะพลั้งเผลอ เราก็เริ่มใหม่ๆ จนเกิดความเคยชิน ถ้าเกิดความเคยชินแล้ว เราก็จะไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันของเรา อันนี้เรื่องของกายนะ นี่เรื่องของจิตนะ กายของเราทำหน้าที่อย่างนั้น กายของเราทำหน้าที่อย่างนี้ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็จะเป็นอาจารย์คอยสอบอารมณ์ สติก็จะเป็นคนคอยตรวจสอบ จิตของเราสอบได้สอบตก ก็รู้อยู่ที่การกระทบอยู่ปัจจุบัน
ส่วนการก่อตัวของจิต การก่อตัวของความคิดนั้น ถ้ารู้ตั้งแต่ต้นเหตุ เราก็จะเห็นชัดเจน จิตก็จะฉายแววออกมาให้เห็น สติก็จะชัดเจนขึ้นมาทันที ไม่ต้องไปรีบเร่ง สติของเราพลั้งเผลอ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มใหม่ๆ ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ไม่เห็น เพียงแค่เราพยายามหัดสังเกตดูความคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาเกิด การก่อตัวของจิต จิตส่งออกไปข้างนอกในลักษณะอย่างไร ถ้าเราดับ เราหยุด เรานิ่ง สติปัญญาของเราไปเกิดแทนได้หรือไม่ เราไม่ทำด้วยความอยากที่เกิดจากจิต ความทะเยอทะยานอยาก เราทำด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล แต่พวกเราจะหาเหตุหาผลต้นตอที่แท้จริงได้เจอหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้าเรารู้เราเข้าใจ เราก็จะมองเห็นทาง
ทุกคนก็มีบุญมีอานิสงส์ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาก่อน ถึงแม้ว่าไม่ได้ปฏิบัติ แต่ในหลักความเป็นจริงก็ปฏิบัติตามหน้าที่ คือมีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียนผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว รู้จักรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี นั่นก็เป็นการปฏิบัติอยู่ระดับของสมมติ เป็นการสร้างบารมีอยู่ระดับของสมมติ แต่ไม่ได้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปสังเกต เข้าไปแยกรูปแยกนาม ตรงนี้แหละที่ว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ
การละกิเลสก็มีอยู่ การเจริญพรหมวิหาร ความเมตตาก็มีอยู่ การให้อภัยทานอโหสิกรรม แต่ทำไม่ได้ต่อเนื่องกัน ทำอย่างไรเราถึงจะทำให้ต่อเนื่องกัน เราก็เพิ่มกำลังสติให้ต่อเนื่องทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย สักวันหนึ่งเราก็เข้าใจในชีวิตของเรา เราก็จะมองเห็นทาง รู้ไม่ทัน เราก็ต้องดับเอาไว้ การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม การฝึกหัดปฏิบัติที่นั่นที่นี่ ทุกคนบางคนบางท่านก็สร้างมาเต็ม อันนี้เป็นอานิสงส์ที่ดี ไปสร้างบารมี ถึงเราเดินปัญญาขั้นสูงยังไม่ได้ ก็เป็นการสร้างบารมีให้กับตัวเราเอง เหมือนกับการปลูกต้นไม้ ปลูกผลหมากรากไม้ ถ้าเราจะเป็นเร่งให้เขาออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ เราต้องอาศัยความเพียรหมั่นดูแล หมั่นรดน้ำให้ปุ๋ยเขา ถึงเวลาเขาเจริญเติบโตออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผล เราก็ได้
การประพฤติปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เราหมั่นสำรวจตรวจตรา หมั่นสร้างบารมี ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ศรัทธาของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรารู้จักให้อภัยทาน รู้จักอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี รู้จักการเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปดับ เข้าไปละ ต่อไปข้างหน้าเราไม่อยากจะได้ความสงบ เราก็ได้ความสงบ เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์ของจิต เราก็ต้องได้ เพราะว่ากำลังสติปัญญาของเราแก่กล้า เราก็จะมองเห็นความเป็นจริงสักวันหนึ่งจนได้ล่ะนะ ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน
ไหว้พระพร้อมๆ กัน อันนี้เพียงแค่ย้ำ แค่เตือน พวกท่านพยายามพากันไปทำให้ได้ทุกอิริยาบถนะ
การเกิดของจิตซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม การเกิดของขันธ์ห้าซึ่งเป็นนามธรรม ส่วนร่างกายของเราก็เป็นส่วนรูปธรรม เขาเข้าไปรวมกันได้อย่างไร เขาปรุงแต่งไปได้อย่างไร เราต้องวิเคราะห์ วิเคราะห์ให้เห็น สร้างตัววิเคราะห์ หรือว่าตรวจสังเกต น้อมเข้าไปดูรู้ฐานของเขาก่อตัวให้ทัน รู้ไม่ทันเราก็รู้จักดับ ถ้าเราเห็นตั้งแต่เขาเกิด เขาก่อตัว จนกว่าเขาจะคลายออกจากกัน นั่นแหละสัมมาทิฏฐิ ความรู้แจ้งเห็นจริงเปิดทางให้ทันที เราก็จะเห็นการเกิดการดับของขันธ์ห้า ซึ่งเรียกว่า ‘อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา’ ในขันธ์ห้า รอบรู้ในกองสังขาร
ทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนให้เป็นแค่เพียงอิริยาบถ อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา เราหมั่นวิเคราะห์ตัวเราอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เอาการเอางานของเราเป็นการฝึกหัดปฏิบัติ ทำงานไปด้วยจิต รับรู้ไปด้วย จิตได้พักผ่อน จิตไม่เครียด ละนิวรณ์ ละความเกียจคร้าน จิตเกิดปีติ จิตเกิดสุข ก็ให้รับรู้ว่าเกิดสุข ละนิวรณ์และความเกียจคร้าน ไม่ปล่อยวันเวลาทิ้ง มีความสุขกับการกับงาน มีความสุขกับการละกิเลส
กิเลสตัวไหนมาหลอกเรา เราพลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ขันธ์ห้ามาหลอกจิตของเราได้อย่างไร จิตปรุงแต่งได้อย่างไร เราไม่ให้จิตของเราเกิด เราเจริญสติไปเกิด ไปทำหน้าที่แทนได้หรือไม่ เราก็หมั่นสำรวจตรวจตราดูเรา กายของเราทำหน้าที่อย่างไร สติ หูตาจมูกลิ้นกาย เป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ส่งเข้าไปถึงตัวใจ เราก็ต้องสำรวจตรวจตราดูตัวเราตลอดเวลา อย่าไปให้คนอื่นเขาได้บังคับ เราต้องตรวจเรา แก้ไขเรา ปรับปรุงตัวเราทุกอิริยาบถ เราไม่ทำด้วยความทะเยอทะยานอยากที่เกิดจากตัวจิตได้หรือไม่ กายไม่อยู่ในอำนาจของจิต แต่เวลานี้จิตมายึด มาครอบครองกาย ทุกสิ่งทุกอย่าง จิตไปยึด ไปครอบครองหมด
เราต้องมาคลายจิตออกจากความคิด ออกจากขันธ์ห้า เขาเรียกว่า ‘คลายความหลง’ นี่แหละความหลง ถ้ายังแยกไม่ได้ก็ว่าตัวเองไม่หลง ถ้าแยกได้เมื่อไหร่ถึงจะรู้ว่าหลงความคิด หลงอารมณ์ ถ้าไม่ได้เจริญสติน้อมเข้าไปดูภายในให้ต่อเนื่อง เราก็ว่าตัวเองมีสติ เรามีสติ มีอยู่ แต่เป็นสติปัญญาของโลกิยะ ประคับประคองอยู่ในความปกติแบบโลกๆ ไม่ได้เห็นการเกิด อาการเกิด ลักษณะของการเกิด ฐานของจิต ไม่ได้รู้ลักษณะของความว่าง ตัวจิต ความว่าง ว่างจากกิเลส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น
ถึงแม้ว่าจิตจะสงบอยู่ ถ้าจิตยังไม่ได้แยก หรือว่ายังไม่ได้พลิกจากขันธ์ห้า เขาก็ยังไม่ได้หงายขึ้นมา ถ้าเปรียบเสมือนกับขันที่ยังคว่ำอยู่ ยังนิ่งอยู่ ความหลงยังครอบงำอยู่ คือสมมติยังครอบงำอยู่ ถ้าจิตแยกจิตคลาย จิตแยกรูปแยกนาม จิตถึงจะพลิก ก็เรียกว่า ‘วิมุตติ’ ก็จะอยู่ข้างบน สมมติก็จะอยู่ข้างล่าง แต่เขาก็อยู่ด้วยกัน อยู่ในกายของเรานี่แหละ เหมือนกับฝ่ามือกับหลังมือ ฝ่ามือพลิกขึ้นมาเขาก็อยู่ข้างบน หลังมือก็อยู่ข้างล่าง แต่เขาก็อยู่ด้วยกัน อยู่ร่วมกัน แต่เราก็รู้ด้วยปัญญาที่เกิดจากการน้อมเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปสังเกต เห็น ทำความเข้าใจก็จะรู้ความเป็นจริง ดูแลรักษากาย บริหารกาย บริหารสมมติภาระหน้าที่การงานของเราให้ราบรื่น กายแตกดับเมื่อไหร่นั่นแหละ เราถึงจะได้ทิ้งสมมติจริงๆ
ตอนนี้เราทำความเข้าใจให้จิตของเราวาง เราเกิดมาในภพมนุษย์ เพราะว่าความหลงนั่นแหละนำมาพาให้เกิด แต่ในภพมนุษย์นี้มีโอกาสมากกว่าภพอื่นๆ ที่จะเข้าใจในหลักธรรม ในหลักจิต ภพอื่นๆ นั้นก็ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยาก ยากที่จะเข้าใจในธรรม ยิ่งภพภูมิต่ำลงไปอีก นรกภูมิอีกยิ่งจะห่างไกลเข้าไปอีก พวกสวรรค์ต่างๆ ก็หลงสุข เพลิดเพลินในความสุขไปเสีย ก็ยากที่จะเข้าใจในธรรม มีภพมนุษย์ที่เป็นภพภูมิที่ดีที่สุดที่จะบรรลุธรรม เข้าใจในธรรม เข้าใจในหลักจิตของตัวเอง
มีโอกาสก็พยายามรีบทำ รีบสร้างบารมีกันขณะที่เรายังมีกำลังอยู่มีลมหายใจอยู่ เราทำบารมี สร้างบารมีได้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นขึ้นมา เรามีความเสียสละ ทำบุญให้กับตัวเรา ทำบุญให้กับพ่อกับแม่ ทำบุญให้กับพี่กับน้อง ทำบุญให้เพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน เรามีความเกียจคร้าน เราก็พยายามละความเกียจคร้าน เราขี้เกียจเจริญภาวนาแล้วก็พยายามสร้างความรู้ตัว หมั่นวิเคราะห์ หมั่นสำรวจตัวเราตลอดเวลานั่นแหละบุญก็จะเกิดขึ้นกับเรา ไม่จำเป็นต้องว่าไปให้ครูบาอาจารย์องค์นั้นเขาบังคับ ไปให้ครูบาอาจารย์องค์นี้เขาบังคับเคี่ยวเข็ญ เราต้องบังคับตัวเรา แก้ไขเราอยู่ตลอดเวลา ขอให้ทำถูกวิธี รู้ไม่ทันก็ดับ ดับแล้วก็วางๆ
หยุด คำว่า ‘ปัจจุบัน’ ดับอยู่ปัจจุบัน วางอยู่ปัจจุบัน ปัจจุบันในทางธรรมคือทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิต พระเราชีเราก็ขยันหมั่นเพียร มีอะไรก็ช่วยกัน สร้างอานิสงส์ใหญ่ สร้างบารมีใหญ่ ต่อไปข้างหน้าก็จะได้ให้เป็นแหล่งบุญใหญ่ของจังหวัดขอนแก่น ของประเทศ
ขอให้ญาติโยมทุกคนทุกท่าน จงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ตามความเป็นจริงแล้วเราก็ต้องพยายามสร้างความรู้ตัวตั้งแต่ตื่นขึ้นมา นั่งตามอิริยาบถให้สบาย วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือกัน ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ลองดูสิ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ให้เต็มท้อง แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเรา เรามีความรู้สึกเด่นชัด แล้วก็พยายามรู้สึกให้ต่อเนื่อง ถ้าความรู้สึกต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’
ถ้าเรามีความรู้ตัวที่ต่อเนื่องอยู่ปัจจุบัน เราจะวิเคราะห์อะไรก็ได้หมด วิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์จิตของเรา เราวิเคราะห์จิตของเราไม่ทัน เราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุมเอาไว้ ใหม่ๆ ก็อาจจะอึดอัด บางทีสติความรู้ตัวของเราอาจจะพลั้งเผลอ เราก็เริ่มใหม่ๆ จนเกิดความเคยชิน ถ้าเกิดความเคยชินแล้ว เราก็จะไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันของเรา อันนี้เรื่องของกายนะ นี่เรื่องของจิตนะ กายของเราทำหน้าที่อย่างนั้น กายของเราทำหน้าที่อย่างนี้ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็จะเป็นอาจารย์คอยสอบอารมณ์ สติก็จะเป็นคนคอยตรวจสอบ จิตของเราสอบได้สอบตก ก็รู้อยู่ที่การกระทบอยู่ปัจจุบัน
ส่วนการก่อตัวของจิต การก่อตัวของความคิดนั้น ถ้ารู้ตั้งแต่ต้นเหตุ เราก็จะเห็นชัดเจน จิตก็จะฉายแววออกมาให้เห็น สติก็จะชัดเจนขึ้นมาทันที ไม่ต้องไปรีบเร่ง สติของเราพลั้งเผลอ ความรู้ตัวของเราพลั้งเผลอ เราก็เริ่มใหม่ๆ ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่รู้ไม่เห็น เพียงแค่เราพยายามหัดสังเกตดูความคิดเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาเกิด การก่อตัวของจิต จิตส่งออกไปข้างนอกในลักษณะอย่างไร ถ้าเราดับ เราหยุด เรานิ่ง สติปัญญาของเราไปเกิดแทนได้หรือไม่ เราไม่ทำด้วยความอยากที่เกิดจากจิต ความทะเยอทะยานอยาก เราทำด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติด้วยปัญญา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล แต่พวกเราจะหาเหตุหาผลต้นตอที่แท้จริงได้เจอหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้าเรารู้เราเข้าใจ เราก็จะมองเห็นทาง
ทุกคนก็มีบุญมีอานิสงส์ถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนก็ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมกันมาก่อน ถึงแม้ว่าไม่ได้ปฏิบัติ แต่ในหลักความเป็นจริงก็ปฏิบัติตามหน้าที่ คือมีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ได้รับการศึกษา ได้รับการเล่าเรียนผ่านกาลผ่านเวลา ผ่านร้อนผ่านหนาว รู้จักรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี นั่นก็เป็นการปฏิบัติอยู่ระดับของสมมติ เป็นการสร้างบารมีอยู่ระดับของสมมติ แต่ไม่ได้เจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปสังเกต เข้าไปแยกรูปแยกนาม ตรงนี้แหละที่ว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ
การละกิเลสก็มีอยู่ การเจริญพรหมวิหาร ความเมตตาก็มีอยู่ การให้อภัยทานอโหสิกรรม แต่ทำไม่ได้ต่อเนื่องกัน ทำอย่างไรเราถึงจะทำให้ต่อเนื่องกัน เราก็เพิ่มกำลังสติให้ต่อเนื่องทุกอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอน กินอยู่ขับถ่าย สักวันหนึ่งเราก็เข้าใจในชีวิตของเรา เราก็จะมองเห็นทาง รู้ไม่ทัน เราก็ต้องดับเอาไว้ การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม การฝึกหัดปฏิบัติที่นั่นที่นี่ ทุกคนบางคนบางท่านก็สร้างมาเต็ม อันนี้เป็นอานิสงส์ที่ดี ไปสร้างบารมี ถึงเราเดินปัญญาขั้นสูงยังไม่ได้ ก็เป็นการสร้างบารมีให้กับตัวเราเอง เหมือนกับการปลูกต้นไม้ ปลูกผลหมากรากไม้ ถ้าเราจะเป็นเร่งให้เขาออกดอกออกผลวันเดียวก็ไม่ได้ เราต้องอาศัยความเพียรหมั่นดูแล หมั่นรดน้ำให้ปุ๋ยเขา ถึงเวลาเขาเจริญเติบโตออกดอกออกผลให้เรา เราไม่อยากจะได้ดอกได้ผล เราก็ได้
การประพฤติปฏิบัติจิตก็เหมือนกัน เราหมั่นสำรวจตรวจตรา หมั่นสร้างบารมี ความเสียสละของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ ศรัทธาของเรามีเต็มเปี่ยมหรือไม่ เรารู้จักให้อภัยทาน รู้จักอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี รู้จักการเจริญสติเข้าไปสังเกต เข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปดับ เข้าไปละ ต่อไปข้างหน้าเราไม่อยากจะได้ความสงบ เราก็ได้ความสงบ เราไม่อยากจะได้ความบริสุทธิ์ของจิต เราก็ต้องได้ เพราะว่ากำลังสติปัญญาของเราแก่กล้า เราก็จะมองเห็นความเป็นจริงสักวันหนึ่งจนได้ล่ะนะ ตั้งสติระลึกรู้การหายใจเข้าออกให้ชัดเจนนะ อยู่หลายคนก็เหมือนกับอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวขณะนี้ก็ให้รู้ว่าลมหายใจวิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของเราให้ต่อเนื่องกัน
ไหว้พระพร้อมๆ กัน อันนี้เพียงแค่ย้ำ แค่เตือน พวกท่านพยายามพากันไปทำให้ได้ทุกอิริยาบถนะ