หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 13
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 13
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกันสักพัก ตามความเป็นจริงเราต้องพยายามสร้างความรู้ตัวเข้าไปสำรวจจิตของเราให้ได้ทุกอิริยาบท ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา รู้จักพิจารณาเรื่องกาย เรื่องจิต ทำความเข้าใจ มีเหตุมีผลอยู่ตลอดเวลา ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่มีเหตุมีผล สมมติภายนอกก็มีเหตุมีผล วิมุตติภายในทางด้านจิตซึ่งเป็นนามธรรม เขาก็มีเหตุมีผลของเขาอยู่ แต่เราจะมองด้วยตาเนื้อ เรามองไม่ค่อยจะรู้ เรามองไม่ค่อยจะเห็นเท่าไหร่ นอกจากความรู้สึกที่เราสร้างขึ้นมา เราพยายามสร้างให้ต่อเนื่อง
ทำจิตของเราให้สงบ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาสติของเราต่อเนื่องกันหรือไม่ ทำความเข้าใจกับสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ชัดเจน แล้วก็พยายามสร้างขึ้นมาเอาไปวิเคราะห์จิตของเรา วิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ความคิด อารมณ์ต่างๆ ให้รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย แล้วก็ทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วค่อยละ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน เราพยายามทำของยากให้เป็นของง่าย
ส่วนมากจะไม่ค่อยสนใจกัน สนใจกันแต่เรื่องการทำบุญ การให้ทาน อยู่ในระดับนั้นกันเยอะ ไม่ใช่ว่าไม่ดี การทำบุญ การให้ทาน มีศรัทธาน้อมเข้ามาเป็นพื้นฐานที่เต็มเปี่ยมอยู่แล้ว แต่การเจริญสติเข้าไปเดินปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริง ตรงนี้แหละไม่ค่อยจะทำกัน ทำกันกระท่อนกระแท่น อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม แสวงหาวิธี วิธีการนั้นมีอยู่ การอ่านตำรา การศึกษากับครูบาอาจารย์นั้นก็เป็นแค่เพียงแผนที่ แต่การทำความเข้าใจที่ต่อเนื่องก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง
การควบคุมจิตของเราอยู่ได้อยู่ในระดับไหน การควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ การสังเกตจนเรารู้เท่าทันจิตกับขันธ์ห้า เขาก็เคลื่อนไปรวมกันแล้ว เขาก็จะคลายออกจากกัน นั่นแหละโมหะถึงจะคลาย ความหลงถึงจะคลาย สัมมาทิฏฐิ เขาเรียกว่า ‘ความรู้แจ้งเห็นจริง’ ถึงจะปรากฏเปิดทาง เพียงแค่เริ่มต้นของการเดินปัญญา ถ้าไม่ทำความเข้าใจก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
การละกิเลสของเราต้องละตลอดเวลา จิตเกิดกิเลสเมื่อไหร่เราก็รู้จักดับ ทำในสิ่งตรงกันข้าม จิตของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยามละความตระหนี่เหนียวแน่น จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี ทีนี้ตัวไหนเป็นตัวคิด เราต้องมาวิเคราะห์อีก มาสร้างสติเข้าไปวิเคราะห์อีก ถ้าเป็นความคิดที่เกิดจากจิต เราต้องรู้จักดับ เป็นความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิต เราก็ต้องสังเกตจนกว่าจิตจะคลาย เราตามทำความเข้าใจแล้วค่อยละ หนุนกำลังสติที่เราสร้างขึ้นมาไปวิเคราะห์พิจารณา ไปทำหน้าที่แทนจิต
แต่เวลานี้ จิตของเรายังเกิด ยังหลงด้วย เกิดด้วย ยึดด้วย สารพัดอย่าง เพราะว่าเขาเกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้วแหละ เราจะมาคลายความหลง ดับความเกิดเพียงแค่วันสองวัน เราก็ต้องพยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบารมีให้แรงกล้า อยู่คนเดียวเราก็วิเคราะห์เรา อยู่หลายคนเราก็วิเคราะห์เรา เป็นเรื่องของเราทุกคน เรื่องเล็กๆน้อยๆ เราอย่าไปมองข้าม แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรารีบสำรวจตัวเราตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็สังเกตวิเคราะห์ตัวเรา ความเป็นอยู่ภายนอกของเราเป็นอย่างไรบ้าง ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือไม่ การดำเนินชีวิตของเรา
แต่ละวันๆ กายของเราเป็นอย่างไร จิตของเราเป็นอย่างไร เราอยู่ร่วมกันกับหมู่กับคณะเป็นอย่างไร เรามีความรับผิดชอบ รับผิดชอบต่อตัวเรา รับผิดชอบต่อส่วนรวม รับผิดชอบต่อคนอื่น เราเป็นคนมีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่ หรือว่ามีแต่ความเกียจคร้านเข้าเกาะควบคุมจิตใจของตัวเรา เรามีความเห็นแก่ตัวหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบที่สูงหรือไม่ พวกนี้เป็นบารมีทั้งนั้น ถ้าเรามีความเกียจคร้านละก็ อย่าไปพูดถึงเลยเรื่องการที่จะประพฤติปฏิบัติให้รู้เข้าถึงทรัพย์ตัวภายในได้ ถ้าเราไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความเสียสละมันก็ยากที่จะปล่อยจะวางได้ แม้แต่ความเสียสละภายนอก เราก็ยังไม่มีความเสียสละ จะไปเสียสละกิเลส เสียสละอารมณ์ภายใน อันนั้นมันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก
ท่านถึงวางเอาไว้ ทานเป็นพื้นฐานของการเสียสละเพื่อที่จะละกิเลส การเจริญสติ ความหมายของการเจริญสติอยู่ตรงไหน การประพฤติวัตรปฏิบัติจะคร่ำเคร่งมากมายอย่างไร ความหมายอยู่ที่ไหน เราก็ต้องเข้าให้ถึงความหมายนั้นๆ ความหมายของการประพฤติวัตรปฏิบัติก็เพื่อที่จะละกิเลสออกจากใจของเรา เพื่อที่จะคลายความหลงออกจากใจของเราให้หมดจด การทำจิตของเราให้สงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่สงบนิ่ง ที่ไม่มีกิเลส จิตที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ลักษณะของจิต ลักษณะของความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลสเป็นอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจให้รู้แจ้งให้เห็นจริง บุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเท่านั้นแหละที่จะเข้าใจ ขยันหมั่นเพียร ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน
ใหม่ๆ ก็อาจจะติดขัดบ้างก็เป็นของธรรมดา ฝึกใหม่ๆ อันนั้นก็ติดขัด อันนี้ก็ติดขัด มีความกังวลอันนั้นบ้าง อันนี้บ้าง สารพัดอย่าง เราพยายามดับ พยายามคลายความกังวลออกไป ทำสมมติของเราให้ดีก็จะส่งผลถึงวิมุตติ ใครเข้ามาที่สถานที่แห่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีความพร้อม มีความอำนวยความสะดวกความสบายให้ในการประพฤติปฏิบัติจิต เพื่อที่จะไปได้เร็วได้ไว
ทีนี้เราจะทำความเข้าใจกับกายกับจิตของเราได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคลนะ ขยันหมั่นเพียรกันเอา มีความรับผิดชอบ อยู่ด้วยกันหลายรูปหลายคนหลายท่าน ก็ให้มีความรักความเมตตา อยู่ด้วยกันเหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนพ่อเหมือนแม่ ให้เคารพกันในธรรม มีอะไรเราก็ค่อยพูดค่อยจา ค่อยเตือนกัน ไปในทางเส้นเดียวคือทางดับทุกข์ ทางหลุดพ้น อะไรที่ไม่ใช่หนทางดับทุกข์ หนทางหลุดพ้น ก็จะมีแต่ความวุ่นวาย อันไหนที่เป็นทางความสงบ ความโล่ง ความโปร่ง ความเบา ความสบาย ความทำให้จิตของเราเป็นบุญเป็นกุศลนั่นแหละคือหนทาง เราก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าญาติว่าโยมว่าพระว่าชี ก็ต้องพยายามกันให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าพากันเกียจคร้าน เพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้เต็มเปี่ยมทุกอิริยาบถ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง
ทำจิตของเราให้สงบ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาสติของเราต่อเนื่องกันหรือไม่ ทำความเข้าใจกับสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ชัดเจน แล้วก็พยายามสร้างขึ้นมาเอาไปวิเคราะห์จิตของเรา วิเคราะห์กายของเรา วิเคราะห์ความคิด อารมณ์ต่างๆ ให้รู้ด้วย เห็นด้วย เข้าถึงด้วย แล้วก็ทำความเข้าใจได้ด้วย แล้วค่อยละ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหน เราพยายามทำของยากให้เป็นของง่าย
ส่วนมากจะไม่ค่อยสนใจกัน สนใจกันแต่เรื่องการทำบุญ การให้ทาน อยู่ในระดับนั้นกันเยอะ ไม่ใช่ว่าไม่ดี การทำบุญ การให้ทาน มีศรัทธาน้อมเข้ามาเป็นพื้นฐานที่เต็มเปี่ยมอยู่แล้ว แต่การเจริญสติเข้าไปเดินปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริง ตรงนี้แหละไม่ค่อยจะทำกัน ทำกันกระท่อนกระแท่น อยากจะรู้ธรรม อยากจะได้ธรรม แสวงหาวิธี วิธีการนั้นมีอยู่ การอ่านตำรา การศึกษากับครูบาอาจารย์นั้นก็เป็นแค่เพียงแผนที่ แต่การทำความเข้าใจที่ต่อเนื่องก็ขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง
การควบคุมจิตของเราอยู่ได้อยู่ในระดับไหน การควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ การสังเกตจนเรารู้เท่าทันจิตกับขันธ์ห้า เขาก็เคลื่อนไปรวมกันแล้ว เขาก็จะคลายออกจากกัน นั่นแหละโมหะถึงจะคลาย ความหลงถึงจะคลาย สัมมาทิฏฐิ เขาเรียกว่า ‘ความรู้แจ้งเห็นจริง’ ถึงจะปรากฏเปิดทาง เพียงแค่เริ่มต้นของการเดินปัญญา ถ้าไม่ทำความเข้าใจก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
การละกิเลสของเราต้องละตลอดเวลา จิตเกิดกิเลสเมื่อไหร่เราก็รู้จักดับ ทำในสิ่งตรงกันข้าม จิตของเรามีความตระหนี่เหนียวแน่น เราก็พยามละความตระหนี่เหนียวแน่น จิตของเรามีความอาฆาตพยาบาท เราก็พยายามให้อภัยทานอโหสิกรรม มองโลกในทางที่ดี คิดดี ทำดี ทีนี้ตัวไหนเป็นตัวคิด เราต้องมาวิเคราะห์อีก มาสร้างสติเข้าไปวิเคราะห์อีก ถ้าเป็นความคิดที่เกิดจากจิต เราต้องรู้จักดับ เป็นความคิดที่เกิดจากขันธ์ห้ามาปรุงแต่งจิต เราก็ต้องสังเกตจนกว่าจิตจะคลาย เราตามทำความเข้าใจแล้วค่อยละ หนุนกำลังสติที่เราสร้างขึ้นมาไปวิเคราะห์พิจารณา ไปทำหน้าที่แทนจิต
แต่เวลานี้ จิตของเรายังเกิด ยังหลงด้วย เกิดด้วย ยึดด้วย สารพัดอย่าง เพราะว่าเขาเกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้วแหละ เราจะมาคลายความหลง ดับความเกิดเพียงแค่วันสองวัน เราก็ต้องพยายามสร้างอานิสงส์ สร้างบารมีให้แรงกล้า อยู่คนเดียวเราก็วิเคราะห์เรา อยู่หลายคนเราก็วิเคราะห์เรา เป็นเรื่องของเราทุกคน เรื่องเล็กๆน้อยๆ เราอย่าไปมองข้าม แต่ละวันตื่นขึ้นมาเรารีบสำรวจตัวเราตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ พอรู้ตัวปุ๊บเราก็สังเกตวิเคราะห์ตัวเรา ความเป็นอยู่ภายนอกของเราเป็นอย่างไรบ้าง ที่พักที่อาศัย ที่หลับที่นอน มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือไม่ การดำเนินชีวิตของเรา
แต่ละวันๆ กายของเราเป็นอย่างไร จิตของเราเป็นอย่างไร เราอยู่ร่วมกันกับหมู่กับคณะเป็นอย่างไร เรามีความรับผิดชอบ รับผิดชอบต่อตัวเรา รับผิดชอบต่อส่วนรวม รับผิดชอบต่อคนอื่น เราเป็นคนมีความขยันหมั่นเพียรหรือไม่ หรือว่ามีแต่ความเกียจคร้านเข้าเกาะควบคุมจิตใจของตัวเรา เรามีความเห็นแก่ตัวหรือไม่ เรามีความรับผิดชอบที่สูงหรือไม่ พวกนี้เป็นบารมีทั้งนั้น ถ้าเรามีความเกียจคร้านละก็ อย่าไปพูดถึงเลยเรื่องการที่จะประพฤติปฏิบัติให้รู้เข้าถึงทรัพย์ตัวภายในได้ ถ้าเราไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความเสียสละมันก็ยากที่จะปล่อยจะวางได้ แม้แต่ความเสียสละภายนอก เราก็ยังไม่มีความเสียสละ จะไปเสียสละกิเลส เสียสละอารมณ์ภายใน อันนั้นมันก็ยิ่งยากเข้าไปอีก
ท่านถึงวางเอาไว้ ทานเป็นพื้นฐานของการเสียสละเพื่อที่จะละกิเลส การเจริญสติ ความหมายของการเจริญสติอยู่ตรงไหน การประพฤติวัตรปฏิบัติจะคร่ำเคร่งมากมายอย่างไร ความหมายอยู่ที่ไหน เราก็ต้องเข้าให้ถึงความหมายนั้นๆ ความหมายของการประพฤติวัตรปฏิบัติก็เพื่อที่จะละกิเลสออกจากใจของเรา เพื่อที่จะคลายความหลงออกจากใจของเราให้หมดจด การทำจิตของเราให้สงบปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร จิตที่สงบนิ่ง ที่ไม่มีกิเลส จิตที่ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ลักษณะของจิต ลักษณะของความว่าง ว่างจากการเกิด ว่างจากกิเลสเป็นอย่างไร เราต้องทำความเข้าใจให้รู้แจ้งให้เห็นจริง บุคคลที่ขยันหมั่นเพียรเท่านั้นแหละที่จะเข้าใจ ขยันหมั่นเพียร ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน
ใหม่ๆ ก็อาจจะติดขัดบ้างก็เป็นของธรรมดา ฝึกใหม่ๆ อันนั้นก็ติดขัด อันนี้ก็ติดขัด มีความกังวลอันนั้นบ้าง อันนี้บ้าง สารพัดอย่าง เราพยายามดับ พยายามคลายความกังวลออกไป ทำสมมติของเราให้ดีก็จะส่งผลถึงวิมุตติ ใครเข้ามาที่สถานที่แห่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีความพร้อม มีความอำนวยความสะดวกความสบายให้ในการประพฤติปฏิบัติจิต เพื่อที่จะไปได้เร็วได้ไว
ทีนี้เราจะทำความเข้าใจกับกายกับจิตของเราได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเพียรของแต่ละบุคคลนะ ขยันหมั่นเพียรกันเอา มีความรับผิดชอบ อยู่ด้วยกันหลายรูปหลายคนหลายท่าน ก็ให้มีความรักความเมตตา อยู่ด้วยกันเหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนพ่อเหมือนแม่ ให้เคารพกันในธรรม มีอะไรเราก็ค่อยพูดค่อยจา ค่อยเตือนกัน ไปในทางเส้นเดียวคือทางดับทุกข์ ทางหลุดพ้น อะไรที่ไม่ใช่หนทางดับทุกข์ หนทางหลุดพ้น ก็จะมีแต่ความวุ่นวาย อันไหนที่เป็นทางความสงบ ความโล่ง ความโปร่ง ความเบา ความสบาย ความทำให้จิตของเราเป็นบุญเป็นกุศลนั่นแหละคือหนทาง เราก็ต้องพยายามกัน ไม่ว่าญาติว่าโยมว่าพระว่าชี ก็ต้องพยายามกันให้ถึงจุดหมายปลายทางกัน อย่าพากันเกียจคร้าน เพิ่มความขยันหมั่นเพียรให้เต็มเปี่ยมทุกอิริยาบถ
เอาล่ะ วันนี้ก็ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ นี่เพียงแค่เล่าให้ฟัง