หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 03
ชื่อตอน (Title)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552 ลำดับที่ 03
บันทึกเสียงเมื่อ (Recording Date)
ชุด (Category)
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2552
ถอดความฉบับเต็ม (Transcript)
สร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของตัวเราเองให้ต่อเนื่องกัน นั่งตามสบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆ ลึกๆ ให้ทั่วท้องนะ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ ไม่ต้องไปตามลมหายใจ เพียงแค่มีความรู้สึกรับรู้อยู่ที่ปลายจมูกของเรา ความรู้สึกรับรู้นั่นแหละเขาเรียกว่า ‘สติ’ ถ้าเรามีความรู้สึกรับรู้ที่ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า ‘สัมปชัญญะ’ ถ้าความรู้สึกผลั้งเผลอแล้วเราก็เริ่มขึ้นใหม่ เริ่มขึ้นใหม่จนเป็นอัตโนมัติ จนเกิดความเคยชินรู้ได้ตลอดเวลา ทุกขณะลมหายใจเข้าออก เขาเรียกว่า ‘รู้ปัจจุบัน’ ของการหายใจเข้าออก
ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จิตจะก่อตัวเราก็จะรู้ทัน ความคิดจะผุดขึ้นมาแล้วก็จะรู้ทัน เราก็จะเห็นการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า ว่าเขาเข้าไปรวมกันได้อย่างไร แต่เวลานี้เราต้องสร้างความรู้ตัวให้ได้เสียก่อน สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ให้เราดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ ออกไปให้หมด ยิ่งพระบวชใหม่ความกังวลจะมีมาก กังวลเรื่องที่พักที่อาศัย กังวลเรื่องการครองผ้า กังวลเรื่องการสวดมนต์สวดพรกัน กังวลเรื่องการฝึกหัดปฏิบัติ เราจะรู้ธรรม เราจะได้ธรรมสารพัดอย่าง ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ ให้เราพยายามดับ พยายามหยุด พยายามดับความกังวลความคิดฟุ้งซ่านนั้นเสีย แล้วก็หมั่นวิเคราะห์เรา
ความปกติอยู่เป็นอย่างไร การหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร การก่อตัวของจิต ลักษณะของความคิดเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร เราดับได้ไหม เราดับตั้งแต่ต้นเหตุ ตั้งแต่เขาเริ่มก่อตัว หรือว่ากลางเหตุ หรือว่าปลายเหตุ จิตกับความคิดเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันได้อย่างไร ตรงนี้แหละสำคัญ ส่วนภาระหน้าที่สมมติต่างๆ อำนวยความสะดวกให้หมดแล้ว เราไม่ต้องมากังวล เราจะพักอย่างไร มีที่พักที่อาศัย มีที่อยู่ที่ทาน ที่ขบที่ฉันหรือไม่ ตรงนั้นตัดออกไปหมด เขาเรียกว่า ‘สถานที่สัปปายะ’ สิ่งแวดล้อมสัปปายะ เราก็จะไม่ได้กังวลตรงจุดนั้น
เราได้วางภาระหน้าที่การงานมาแล้ว ได้ปลอกใจ ถ้าเป็น 100% เราก็วางได้ 50 ทีนี้เราก็มาหัดวิเคราะห์เรื่องจิตของเราซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เขาเกิดอย่างไร เขาก่อตัวอย่างไร จิตเกิดกิเลสเรารู้จักดับ รู้จักละหรือไม่ ยืนเดินนั่งนอน เรามีสติที่ต่อเนื่องกันหรือเปล่า ก็ต้องพยายาม จะทำอะไร ทำการทำงาน ทำนั่นทำนี่ เราก็มีสติรู้จิต ให้จิตรับรู้
จิตจะเกิดเราก็รู้จักดับ หมั่นแก้ไขปรับปรุงตัวเรา พิจารณาตัวเรา เขาเรียกว่า ‘ปฏิสังขาโย’ อยู่ตลอดเวลา ต่อไปข้างหน้าก็จะเห็นความเกิดความดับของจิต เข้าใจในเรื่องทรัพย์ เข้าใจในอริยทรัพย์ ทรัพย์ภายใน ทรัพย์ภายนอก เข้าใจในเรื่องศีล ศีลความปกติของกาย ของวาจา แล้วก็ของใจ ศีลสมมติศีลวิมุต ศีลสังคม แล้วก็ศีลภายใน แล้วก็ตัวศีลคือตัวจิต
ตัวจิตนั่น คือความว่าง ความว่างก็คือตัวจิต ในความว่างนั้นมีดวงจิตอยู่ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เราต้องหาให้เจอ ถ้าเราหาไม่เจอ อีกอย่างหนึ่งนั้น ถ้าจิตของเรายังเกิดอยู่ ยังหลงอยู่ เราก็ต้องพยายามสร้างสติให้มากๆ เข้าไปอดเข้าไปข่ม เข้าไปฝึกเข้าไปฝืน ใหม่ๆ เขาถึงเรียกว่า ‘ทวนกระแส’ เพราะว่าจิตของคนเรา ชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง เรามาดับ มาอด มาข่ม ใหม่ๆก็เลยอึดอัด จะอึดอัดตั้งแต่ช่วงใหม่ๆ อึดอัดจนถึงที่สิ้นสุดของเขาก็จะคลาย คลายแล้วเขาก็จะโล่ง เขาก็จะโปร่ง ทีนี้การละ การดับ การตามทำความเข้าใจก็จะไปได้เร็วได้ไวขึ้น
ใหม่ๆ เราดับความคิดเห็นเก่าๆ ทิฏฐิมานะ ความคิดเห็นเก่าๆ ของเรา เราเก็บเอาไว้ในตู้เสียก่อน อย่าเพิ่งมาโต้แย้ง ถ้าเราเจริญสติเข้าไปรู้ไม่ทัน ก็ดับ ดับแล้วก็วาง รู้ไม่ทันเราก็ดับ ดับแล้วก็วาง ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เป็นคนฉลาด ให้ฉลาดรอบรู้ในกองสังขารของเราให้ได้เสียก่อน ให้ทำความเข้าใจให้ได้
จิตนี้ถ้าไม่รู้เห็นตามความเป็นจริงจริงๆ เขาก็ไม่ยอมปล่อยยอมวาง ถ้าเราแยกคลายจิตออกจากขันธ์ห้าได้ สติตามดูทุกเรื่องได้ จิตรู้เห็นตามความเป็นจริง เขาจะเบื่อหน่ายเองโดยธรรมชาติ ถ้าเขารู้ความจริงแล้วเขาไม่เอาหรอกทุกข์น่ะ การเป็นทาสของอารมณ์มันเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา แต่เราทำไม่ถึงจุดหมาย ทำไม่ถึงที่สิ้นสุด มันก็เลยขาด ๆ แหว่งๆ ขาดๆ หว่องๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง
เพียงแค่เจริญสติก็ยังไม่ได้คืบ ไม่ได้ศอกเลย แต่ละวันมีกี่นาที แต่ละวันมีกี่ชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่งมีกี่นาที เรามีความรู้สึกต่อเนื่องกันหรือไม่ จิตของเราเป็นอย่างไร เราต้องสำรวจทุกขณะ ทุกเวลา ท่านถึงบอกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ทุกขณะจิต ทุกขณะเวลาจนเป็นอัตโนมัติ ตราบใดที่เรายังแยกจิต คลายจิตออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ สติในทางธรรมจะไม่ต่อเนื่อง
ถ้าเราแยกจิตออกจากขันธ์ห้าได้ ตามทำความเข้าใจได้โดยที่ไม่ขาดสาย กำลังสติถึงจะกลายเป็นมหาสติ ต่อไปถึงจะกลายเป็นมหาปัญญา อันนี้เพียงแค่เรารู้เล็กๆ น้อยๆ ก็ปล่อยทิ้งไป รู้เล็กๆ น้อยๆ ก็ปล่อยทิ้งไป อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตบะบารมีความเพียรของแต่ละบุคคล ถ้าเราเพียรมากเพียรได้ถูกทางก็จะไปได้เร็วได้ไว อานิสงส์ส่วนอื่นนั้นทุกคนส่งกันมาหมด ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม อานิสงส์ความเสียสละ ความอดทน มีความจริงใจต่อตัวเอง ฝักใฝ่ ที่นี้การทำความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็ต้องพยายามเอานะ
พระเราก็เหมือนกัน ที่พักที่อาศัยก็อาจจะลำบากหน่อย อยู่ตามร่มไม้อยู่ตามชายคา เอากลดเอาเต็นท์ไปกาง ฝนฟ้าไม่ตกก็มีความสุข สมัยก่อนหลวงพ่อยิ่งลำบากมากกว่าพวกท่าน ที่พักที่อาศัยก็ตะลอนๆ อยู่ตามร่มไม้เอา ก็ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้หรอก ทุกวันนี้มีอะไรก็สัปปายะ ข้างล่างริมบ่อริมสระ ก็ตามขอนไม้เอากลดเอาเต็นท์ไปกาง มีความสุข กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ จิตวิเวกเป็นอย่างนี้นะ การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้นะ ความเพียรของเราทำได้ต่อเนื่องกันหรือไม่
ธรรมะไม่ได้อยู่กับหลวงพ่อหรอก ธรรมะไม่ได้อยู่กับสถานที่ ก็อยู่ที่ใจ ที่กายของเรานั่นแหละ เราก็ต้องพยายาม หลวงพ่อเป็นแค่เพียงเล่าให้ฟัง เป็นผู้แนะ เป็นผู้ชี้ให้ฟัง เราอย่าทำด้วยความอยาก ความอยากที่เกิดจากจิต เกิดจากกิเลส ให้เราตั้งสติ หรือว่าสร้างความรู้สึกตัวเนี่ยแหละ ให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ตากระทบรูปจิตของเราปกติ หูกระทบเสียงจิตของเราปกติ ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหก หูตาจมูกลิ้นกาย ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกรู้ใจของเราไปด้วย รู้สัมผัสของลมหายใจไปด้วย รู้จักน้อยๆ ต่อไปข้างหน้าเขาก็จะมากขึ้นๆ ไม่ใช่ว่าจะไปเอาตั้งแต่ผลอย่างเดียว ก็ต้องพยายามเอานะ
วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ
ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน จิตจะก่อตัวเราก็จะรู้ทัน ความคิดจะผุดขึ้นมาแล้วก็จะรู้ทัน เราก็จะเห็นการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์ห้า ว่าเขาเข้าไปรวมกันได้อย่างไร แต่เวลานี้เราต้องสร้างความรู้ตัวให้ได้เสียก่อน สร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง ให้เราดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆ ออกไปให้หมด ยิ่งพระบวชใหม่ความกังวลจะมีมาก กังวลเรื่องที่พักที่อาศัย กังวลเรื่องการครองผ้า กังวลเรื่องการสวดมนต์สวดพรกัน กังวลเรื่องการฝึกหัดปฏิบัติ เราจะรู้ธรรม เราจะได้ธรรมสารพัดอย่าง ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ ให้เราพยายามดับ พยายามหยุด พยายามดับความกังวลความคิดฟุ้งซ่านนั้นเสีย แล้วก็หมั่นวิเคราะห์เรา
ความปกติอยู่เป็นอย่างไร การหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร การก่อตัวของจิต ลักษณะของความคิดเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร เราดับได้ไหม เราดับตั้งแต่ต้นเหตุ ตั้งแต่เขาเริ่มก่อตัว หรือว่ากลางเหตุ หรือว่าปลายเหตุ จิตกับความคิดเขาเคลื่อนเข้าไปรวมกันได้อย่างไร ตรงนี้แหละสำคัญ ส่วนภาระหน้าที่สมมติต่างๆ อำนวยความสะดวกให้หมดแล้ว เราไม่ต้องมากังวล เราจะพักอย่างไร มีที่พักที่อาศัย มีที่อยู่ที่ทาน ที่ขบที่ฉันหรือไม่ ตรงนั้นตัดออกไปหมด เขาเรียกว่า ‘สถานที่สัปปายะ’ สิ่งแวดล้อมสัปปายะ เราก็จะไม่ได้กังวลตรงจุดนั้น
เราได้วางภาระหน้าที่การงานมาแล้ว ได้ปลอกใจ ถ้าเป็น 100% เราก็วางได้ 50 ทีนี้เราก็มาหัดวิเคราะห์เรื่องจิตของเราซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรม เขาเกิดอย่างไร เขาก่อตัวอย่างไร จิตเกิดกิเลสเรารู้จักดับ รู้จักละหรือไม่ ยืนเดินนั่งนอน เรามีสติที่ต่อเนื่องกันหรือเปล่า ก็ต้องพยายาม จะทำอะไร ทำการทำงาน ทำนั่นทำนี่ เราก็มีสติรู้จิต ให้จิตรับรู้
จิตจะเกิดเราก็รู้จักดับ หมั่นแก้ไขปรับปรุงตัวเรา พิจารณาตัวเรา เขาเรียกว่า ‘ปฏิสังขาโย’ อยู่ตลอดเวลา ต่อไปข้างหน้าก็จะเห็นความเกิดความดับของจิต เข้าใจในเรื่องทรัพย์ เข้าใจในอริยทรัพย์ ทรัพย์ภายใน ทรัพย์ภายนอก เข้าใจในเรื่องศีล ศีลความปกติของกาย ของวาจา แล้วก็ของใจ ศีลสมมติศีลวิมุต ศีลสังคม แล้วก็ศีลภายใน แล้วก็ตัวศีลคือตัวจิต
ตัวจิตนั่น คือความว่าง ความว่างก็คือตัวจิต ในความว่างนั้นมีดวงจิตอยู่ มีความรู้สึกรับรู้อยู่ เราต้องหาให้เจอ ถ้าเราหาไม่เจอ อีกอย่างหนึ่งนั้น ถ้าจิตของเรายังเกิดอยู่ ยังหลงอยู่ เราก็ต้องพยายามสร้างสติให้มากๆ เข้าไปอดเข้าไปข่ม เข้าไปฝึกเข้าไปฝืน ใหม่ๆ เขาถึงเรียกว่า ‘ทวนกระแส’ เพราะว่าจิตของคนเรา ชอบคิดชอบเที่ยว ชอบปรุงชอบแต่ง เรามาดับ มาอด มาข่ม ใหม่ๆก็เลยอึดอัด จะอึดอัดตั้งแต่ช่วงใหม่ๆ อึดอัดจนถึงที่สิ้นสุดของเขาก็จะคลาย คลายแล้วเขาก็จะโล่ง เขาก็จะโปร่ง ทีนี้การละ การดับ การตามทำความเข้าใจก็จะไปได้เร็วได้ไวขึ้น
ใหม่ๆ เราดับความคิดเห็นเก่าๆ ทิฏฐิมานะ ความคิดเห็นเก่าๆ ของเรา เราเก็บเอาไว้ในตู้เสียก่อน อย่าเพิ่งมาโต้แย้ง ถ้าเราเจริญสติเข้าไปรู้ไม่ทัน ก็ดับ ดับแล้วก็วาง รู้ไม่ทันเราก็ดับ ดับแล้วก็วาง ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีปัญญา ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เป็นคนฉลาด ให้ฉลาดรอบรู้ในกองสังขารของเราให้ได้เสียก่อน ให้ทำความเข้าใจให้ได้
จิตนี้ถ้าไม่รู้เห็นตามความเป็นจริงจริงๆ เขาก็ไม่ยอมปล่อยยอมวาง ถ้าเราแยกคลายจิตออกจากขันธ์ห้าได้ สติตามดูทุกเรื่องได้ จิตรู้เห็นตามความเป็นจริง เขาจะเบื่อหน่ายเองโดยธรรมชาติ ถ้าเขารู้ความจริงแล้วเขาไม่เอาหรอกทุกข์น่ะ การเป็นทาสของอารมณ์มันเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา แต่เราทำไม่ถึงจุดหมาย ทำไม่ถึงที่สิ้นสุด มันก็เลยขาด ๆ แหว่งๆ ขาดๆ หว่องๆ ได้บ้างไม่ได้บ้าง
เพียงแค่เจริญสติก็ยังไม่ได้คืบ ไม่ได้ศอกเลย แต่ละวันมีกี่นาที แต่ละวันมีกี่ชั่วโมง ชั่วโมงหนึ่งมีกี่นาที เรามีความรู้สึกต่อเนื่องกันหรือไม่ จิตของเราเป็นอย่างไร เราต้องสำรวจทุกขณะ ทุกเวลา ท่านถึงบอกว่า ‘ปัจจุบันธรรม’ ทุกขณะจิต ทุกขณะเวลาจนเป็นอัตโนมัติ ตราบใดที่เรายังแยกจิต คลายจิตออกจากขันธ์ห้าไม่ได้ สติในทางธรรมจะไม่ต่อเนื่อง
ถ้าเราแยกจิตออกจากขันธ์ห้าได้ ตามทำความเข้าใจได้โดยที่ไม่ขาดสาย กำลังสติถึงจะกลายเป็นมหาสติ ต่อไปถึงจะกลายเป็นมหาปัญญา อันนี้เพียงแค่เรารู้เล็กๆ น้อยๆ ก็ปล่อยทิ้งไป รู้เล็กๆ น้อยๆ ก็ปล่อยทิ้งไป อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับตบะบารมีความเพียรของแต่ละบุคคล ถ้าเราเพียรมากเพียรได้ถูกทางก็จะไปได้เร็วได้ไว อานิสงส์ส่วนอื่นนั้นทุกคนส่งกันมาหมด ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม อานิสงส์ความเสียสละ ความอดทน มีความจริงใจต่อตัวเอง ฝักใฝ่ ที่นี้การทำความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็ต้องพยายามเอานะ
พระเราก็เหมือนกัน ที่พักที่อาศัยก็อาจจะลำบากหน่อย อยู่ตามร่มไม้อยู่ตามชายคา เอากลดเอาเต็นท์ไปกาง ฝนฟ้าไม่ตกก็มีความสุข สมัยก่อนหลวงพ่อยิ่งลำบากมากกว่าพวกท่าน ที่พักที่อาศัยก็ตะลอนๆ อยู่ตามร่มไม้เอา ก็ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนทุกวันนี้หรอก ทุกวันนี้มีอะไรก็สัปปายะ ข้างล่างริมบ่อริมสระ ก็ตามขอนไม้เอากลดเอาเต็นท์ไปกาง มีความสุข กายวิเวกเป็นอย่างนี้นะ จิตวิเวกเป็นอย่างนี้นะ การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้นะ ความเพียรของเราทำได้ต่อเนื่องกันหรือไม่
ธรรมะไม่ได้อยู่กับหลวงพ่อหรอก ธรรมะไม่ได้อยู่กับสถานที่ ก็อยู่ที่ใจ ที่กายของเรานั่นแหละ เราก็ต้องพยายาม หลวงพ่อเป็นแค่เพียงเล่าให้ฟัง เป็นผู้แนะ เป็นผู้ชี้ให้ฟัง เราอย่าทำด้วยความอยาก ความอยากที่เกิดจากจิต เกิดจากกิเลส ให้เราตั้งสติ หรือว่าสร้างความรู้สึกตัวเนี่ยแหละ ให้ต่อเนื่องให้ได้เสียก่อน พลั้งเผลอเราก็เริ่มใหม่ ตากระทบรูปจิตของเราปกติ หูกระทบเสียงจิตของเราปกติ ทำความเข้าใจกับทวารทั้งหก หูตาจมูกลิ้นกาย ซึ่งเป็นทางผ่านของรูปรสกลิ่นเสียง ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียกรู้ใจของเราไปด้วย รู้สัมผัสของลมหายใจไปด้วย รู้จักน้อยๆ ต่อไปข้างหน้าเขาก็จะมากขึ้นๆ ไม่ใช่ว่าจะไปเอาตั้งแต่ผลอย่างเดียว ก็ต้องพยายามเอานะ
วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อ ทำความเข้าใจกันเอานะ