หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 111

หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 111
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ผู้บรรยาย
พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร
ชื่อตอน
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 111
บันทึกเสียงเมื่อ
ชุด
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556
ถอดความฉบับเต็ม
หลวงพ่อฝากไว้ ปี 2556 ลำดับที่ 111
พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์สำราญ ธมฺมธุโร (หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน)
ในวันที่ 11 กันยายน 2556

เจริญธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจของเราให้ชัดเจน ให้ต่อเนื่องกันสักพักหนึ่ง ทำใจของเราให้สงบ ทำกายของเราให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ วางกายให้สบาย ฟังไปด้วยน้อมสำเหนียก สร้างความรู้ตัวให้ต่อเนื่อง ความต่อเนื่องความสืบต่อตรงนี้แหละที่เราขาดความเพียรกันมากเลยทีเดียว ทั้งที่ใจก็เป็นบุญ ใจอยากจะได้บุญ ใจอยากจะรู้ธรรม ความอยาก ความเกิดของใจก็ปิดบังตัวใจเอาไว้ทันที ตัวใจจริงๆ นั้นคือความว่าง ความว่าง

ถ้าเราเจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราเห็นตั้งแต่การก่อตัว เราก็รู้จักดับ รู้จักหยุด พอเราดับ พอเราหยุด ก็จะเข้าถึงตัวใจ แต่เวลานี้ใจของเราเกิดปรุงแต่งส่งออกไปภายนอก เราก็ไปหมั่นหมายเอาตรงนั้น บางทีก็มีความคิด อาการของขันธ์ห้าผุดขึ้นมาปรุงแต่งใจ เขาร่วมกันไป อันนี้แหละเขาเรียกว่า หลง ความหลง หลงทำให้เกิดอัตตาตัวตน คิดเราก็รู้ ธรรมเราก็รู้ แต่เรายังแยกยังคลายไม่ได้ก็ยังหลงตรงนั้นอยู่ อาจจะถูกต้องอยู่ระดับของสมมติ ท่านถึงมาให้เจริญสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบันให้ต่อเนื่อง แล้วก็พยายามสร้างให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จักสังเกตการก่อตัวของใจก่อตัวของความคิด แล้วก็ปรับสภาพใจของเราให้อยู่ในความปกติ ให้อยู่ในความสงบ

ใจจะเกิดกิเลส เราก็รู้จักละ ต้องเป็นบุคคลที่ขยันหมั่นเพียร หมั่นฝักใฝ่หมั่นสนใจ ใคร่ครวญอยู่ตลอดเวลาถึงจะรู้เรื่องในกายของเรา ส่วนมากก็มีตั้งแต่รู้เรื่องในภาพรวม แต่เขาก็รวมกันอยู่ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรเอา ไม่ว่าพระว่าโยมมาชี เป็นเรื่องของพวกเราทุกคนเลยทีเดียว เพียงแค่เรื่องการหายใจเข้าออก พวกเราก็ขาดความเพียรกัน จะเอาตั้งแต่ธรรม บางทีจะเอาตั้งแต่บุญจะเอาตั้งแต่ธรรม มันก็ได้อยู่ แต่การรู้ความจริง การละความเกิด การหลุดพ้นจริงๆ เราก็ต้องพยายาม ละที่ตรงไหน คลายที่ตรงไหน สติปัญญาหมั่นพร่ำสอนใจของเรา

ใจของเราเป็นลักษณะอย่างไร หรือว่าวิญญาณในกายของเรานี่แหละ ซึ่งเป็นนามธรรม จะรู้ด้วยตาเนื้อนี่มองไม่เห็นหรอก เราต้องมองด้วยตาปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา หลายสิ่งหลายอย่างมาปกปิดเอาไว้ รูปกายก็มาปกปิดดวงวิญญาณเอาไว้ ความคิดก็มาปกปิดดวงวิญญาณเอาไว้ ต้องอาศัยปัญญาของผู้รู้ อาศัยปัญญาของพระพุทธองค์ที่ท่านได้ค้นพบแล้วเอามาเปิดเผย

เราอยู่กับสมมติ ก็ให้เคารพสมมติ ทำความเข้าใจกับสมมติ ไม่ให้สมมติเข้าไปยึดเข้าไปครอบงำ สมมติว่าเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เป็นสามีภรรยา อันนี้ก็เพียงแค่สมมติ กายของเราก็เป็นก้อนสมมติ ทวารทั้งหกของเราทำหน้าที่อย่างไร เราต้องศึกษาอีก ตาก็มีหน้าที่ดู เราก็ห้ามตาไม่ได้ หูมีหน้าที่ฟัง เราก็ห้ามไม่ได้ เป็นทวารเป็นทางผ่าน ส่งสืบต่อเข้าถึงตัววิญญาณ

ถ้าเรามีสติรู้ตัวอยู่ปัจจุบัน เราจะค้นคว้าทำความเข้าใจ แล้วก็หมั่นพร่ำสอนใจของเราอยู่ตลอดเวลา อะไรควรละ อะไรควรเจริญ อะไรควรดำเนิน ให้ถึงจุดหมายปลายทาง อยู่กับสมมติก็ไม่ให้สมมติเข้าครอบงำ สมมติก็มีมากมาย สมมติจากภายนอก สมมติกายของเราอีก กายของเรานี่ถ้าถึงวาระเวลาเขาก็ต้องแตกต้องดับกลับคืนสู่สภาพเดิม บุคคลที่มีบุญมีอานิสงส์ จะหมั่นพิจารณาหมั่นแก้ไข หมั่นปรับปรุง พลั้งเผลอเริ่มขึ้นมาใหม่ พลั้งเผลอเริ่มขึ้นมาใหม่ หมั่นสอนตัวหมั่นสอนใจของเรา หมั่นทำความเข้าใจกับชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลา อยู่คนเดียวเราก็ได้ฟังธรรม อยู่หลายคนเราก็ได้ฟังธรรม

ถึงวาระเวลาก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง ให้เรารีบตักตวงสร้างประโยชน์ สร้างบุญสร้างกุศล อยู่ในกายก้อนนี้ของเราให้เต็มที่ ก่อนที่กายของเราจะแตกจะดับ ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ไม่ได้แตกได้ดับ ห้ามไม่ได้สิ่งพวกนี้ เพราะเป็นกฎของไตรลักษณ์ กฎของความเป็นจริง ทุกคนเกิดมาก็เข้าสู่สภาวะอันเดียวกัน คือ ความตาย ก่อนที่จะตายเราต้องรู้เรื่องชีวิตของเราให้ได้ ว่าอะไรคือวิญญาณ ลักษณะของวิญญาณหรือว่าลักษณะของใจที่ไม่เกิดเป็นอย่างไร ใจที่ปราศจากกิเลสเป็นอย่างไร ใจที่ฝักใฝ่ในบุญในกุศลเป็นอย่างไร อะไรควรละ อะไรควรเจริญ ตามหลักของความเป็นจริง ท่านก็ให้สร้างบุญ แต่ไม่ให้ยึดติดในบุญ ละออกให้หมด ให้อยู่เหนือ ให้อยู่กลางๆ ไม่เข้าข้าง ไม่ไปเข้าข้างคนโน้นเข้าข้างคนนี้ เข้าข้างบุญเข้าข้างบาป แต่ละบาป สร้างบุญไม่ยึดติด อยู่เหนือบุญ ทำใจให้เป็นกลางๆ

ก่อนที่จะเป็นกลางๆ ได้ สติที่เราสร้างขึ้นมาต้องเข้มแข็ง หาเหตุหาผล ชี้เหตุชี้ผล ให้ใจของเรายอมรับความเป็นจริงให้ได้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เมื่อใจรู้เห็นความเป็นจริงแล้ว เขาก็ไม่เอาหรอก การเกิดเป็นทุกข์เขาก็ไม่เอา เป็นทาสของกิเลสเขาก็ไม่เอา อยู่กับกิเลส เขาไม่ได้ไปหลงไปยึดไปติด อยู่กับสมมติก็ไม่ได้ไปหลงไปยึดไปติด มีตั้งแต่ทรงความว่าง ความสะอาด ความบริสุทธิ์ นั่นแหละเป็นสุขที่ถาวร มองเห็นหนทางเดินว่าจะได้กลับมาเกิดหรือไม่กลับมาเกิดกัน กิเลสมารต่างๆ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ นะ

ในสิ่งที่หลวงพ่อพูดนี่นึกว่าพูดง่าย ไม่ใช่นะ แต่การกระทำการลงมือก็ต้องพยายามเพียร เพียรให้ต่อเนื่อง ทำความเข้าใจให้ต่อเนื่อง ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ แก้ไขใหม่อยู่ตลอดเวลา กระทั่งทางสมมติเราก็ทำให้บริบูรณ์ สมมติโลกธรรมนั่นแหละเพราะว่ากายของเราก็ยังอาศัยสมมติอยู่ ใจก็ยังอาศัยสมมติอยู่ โลกกับธรรมก็อาศัยอยู่ร่วมกัน หมดลมหายใจนั่นแหละ ถึงจะได้พรากจากกัน ก่อนที่จะยังไม่ถึงเวลานั้น เราก็พยายามทำใจของเราให้ปล่อย ให้ว่าง รับรู้ในสิ่งที่เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่ได้ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็พยายามพากันทำ มีอะไรเราก็ช่วยกัน จากหนักก็เป็นเบา จากเบาก็แทบจะไม่มี จากสมัยก่อนมาถึงสมัยนี้ก็อาศัยแรงกายแรงใจของทุกคนหล่อหลอมร่วมกัน สร้างขึ้นมาทำขึ้นมา พวกเราก็ได้อยู่ดีมีความสุข มีที่พักที่อาศัย ที่นั่งที่หลับที่นอน ที่อยู่ที่กิน ไม่ได้ลำบาก

จะเอาตั้งแต่ธรรม ถ้ามีตั้งแต่ความเกียจคร้าน การกระทำไม่มี เพียงแค่สร้างสมมติให้มันเกิดประโยชน์ก็ยังเกียจคร้าน ต่อไปข้างหน้าจะช่วยเหลือตัวเองได้อย่างไร เราต้องพึ่งตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็นอยู่ตลอดเวลา ทั้งภายนอกทั้งภายใน ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เก้อไม่เขิน ถ้าเราสร้างสะสมความเกียจคร้าน วันหนึ่ง วันที่ 2 วันที่ 3 ก็เพิ่มมากขึ้นๆ มันก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ บอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น กิเลสก็บงการอยู่อย่างนั้น ไปที่ไหนก็หนักตัวเรา หนักคนอื่น หนักสถานที่ ถ้าเรามีจิตที่มีความเสียสละ ไปที่ไหนก็มีความสุข มีตั้งแต่ความเบา ความโล่ง ความโปร่ง ทางสมมติก็ไม่ได้ลำบาก ไปที่ไหนก็ไม่ตกอับ ก็พยายามนะ

เอาล่ะ วันนี้ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆ กัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจกันเอา

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง